แพทย์หญิงอมรา มลิลา (หลักที่ใช้ในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ)

แพทย์หญิงอมรา มลิลา

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 ณ บ้านพัก ซอยโปร่งใจ (ซอยศรีบำเพ็ญ) สาทร

หลักที่ใช้ในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ

        หากถามถึงหลักการในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จคงเป็น “การอยู่กับปัจจุบัน” เพราะคุณพ่อเคยสอนเสมอว่า “...อะไรที่เกิดขึ้นกับเรานี่ดีที่สุดสำหรับเรา...” ตอนแรก เราก็นึกถึงในสิ่งที่คุณพ่อพูด เราจึงเกิดคำถามว่า มันจะดีที่สุดได้อย่างไร เป็นต้นว่า คุณพ่อสอนเราว่า ให้เราเป็นคนจริง บางทีในสังคมมักไม่ชอบคนพูดความจริงนัก พอเราพูดความจริง เรากลายเป็นแกะดำอะไรแบบนี้ เราก็บอกคุณพ่อว่า “...พ่อ สงสัยพ่อสอนผิดยุคสมัย...” พ่อบอก “...เออนั้นแหละ ดูไปเถอะ...แล้วในที่สุดนะ ไอ้ของปลอมมันจะถลอกปอกเปิกไปหมด ของจริงนี่มันจะส่องแสงเป็นประกาย แต่มันอาจจะช้าหน่อยนะ...” และวันหนึ่งเราได้พบจริง ยิ่งเรามาปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อะไรที่เราทำเอาไว้ ใจเราเหมือนที่สวนแปลงหนึ่ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือ เมล็ดพืชที่เราหว่านไปตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อะไรที่เราหว่านไปที่เราบอกว่าไม่ต้องไปเชื่อหมอดู หมอเดา ไม่ต้องไปให้เขาแก้กรรมให้เรา เรานั่นหละจะแก้กรรมของเราได้ สมมุติว่าเมล็ดที่เราหว่านไว้ก่อนหน้านี้ คือ กรรมในอดีตของเรา มันจะงอกขึ้นมา พอเราทำไปแล้วมันงอกขึ้นมาเมื่อไร กลายเป็นต้นไม้ เริ่มมีดอก มีผลขึ้นมา เราจะรู้ว่า งอกได้อย่างไร นั่นจะเป็น “ผัสสะ” ผัสสะ คือ สัมผัส การกระทบ ที่จะมากระทบเรา แต่ละขณะ ๆ โลกข้างนอกเราก็มีรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โลกข้างในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ประตูจะเปิดรับของข้างนอกเข้ามาได้ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราไม่ระมัดระวัง เราไม่มีนายทวาร คือ สติ เฝ้าไว้ เราก็รับเละเลย เมื่อรับแล้วเราก็เจ๊ง เพราะฉะนั้น ผัสสะที่มากระทบเราแต่ละครั้ง คือ ผลของอดีต ถ้าเผื่อเราทำไปแล้วเราบอก “...โอ๊ย!!! รู้แบบนี้เราไม่พูดอย่างที่เราพูดก็ดี ไม่ทำอย่างที่ทำก็ดี...” จงจำเอาไว้ ถ้าผัสสะมากระทบเรา เราอย่าพึ่งเหวี่ยงไป เพราะเหวี่ยงไปเราก็จะร้องอีกว่า “...รู้งี้ไม่พูดอย่างที่พูดก็ดี...” ตกลงกรรมอันนี้ก็จะซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เรื่อย ๆ และจะกลายเป็นนิสัยเรา แต่ถ้าเรานึกได้ว่า คราวที่แล้วเราพลาดไป พอผัสสะมากระทบเรา คือ ผลของกรรมเก่าที่เราทำไว้ มันมาเป็นผัสสะกระทบเรา เท่ากับเป็นโอกาสให้เราได้ แก้ไขกรรมเก่าแล้ว พระพุทธเจ้าบอกหนทาง มี 2 แพร่งเท่านั้น โรงผลิตทุกข์ สมุทัย กับ มรรค ทางสิ้นทุกข์ เรายังไม่รู้ทางสิ้นทุกข์เป็นอย่างไร แต่ถ้าเราไปตรงกันข้าม เพราะมันมี 2 แพร่งเท่านั้น เราต้องตั้งสติให้ดี ไม่เหวี่ยงไปในแบบที่เคยเหวี่ยง และหมุนไปทางตรงกันข้าม

          เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันจริง ๆ อะไรที่เกิดขึ้นกับเราดีที่สุดสำหรับเราทั้งนั้นเลย เพราะคือการให้โอกาสเราได้แก้ของคนที่เราเคยแค้นเอาไว้ เคยไม่พอใจเอาไว้ ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจ เพราะพ่อพูดสั้น ๆ ว่า “...อะไรที่เกิดขึ้นกับเราดีที่สุดสำหรับเราลูก...” เราจึงบอกพ่อ “...ไม่จริงพ่อ ไม่จริง...” แต่พอตอนนี้ “...จริงพ่อ...” เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “...อะไรที่มาเกิดกับเรานี่ มันไม่ใช่บังเอิญ ไม่ใช่ใครแกล้ง ใครสร้างสรรค์ให้เรา ผลของกรรมเก่าของเรานั้นแหละที่เราทำเอาไว้ ถ้ามันไม่ดีเราก็เปลี่ยนนิสัยซะใหม่ เราก็ทำดีได้ เราก็เปลี่ยนกรรมเก่าให้เป็นกรรมใหม่ได้ ถ้ามันดีเราก็ทำต่อไปเรื่อย ๆ มันก็ดี ทีนี้พอเราทำดีแล้วนี่ เรารู้ว่าอันนี้เราหว่านเมล็ดลงไป ประเดี๋ยวมันต้องงอก แล้วมันก็ต้องเป็น ผัสสะในอนาคต เราก็ไม่ห่วงแหละ เพราะเราหว่านแต่เมล็ดดี ๆ ไป มันจะงอกยังไง ๆ มันก็ต้องดีวันยังค่ำ...”

        

แพทย์หญิงอมรา มลิลา ถ่ายเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้น 3 หอสมุดและคลังความรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
โทร 0-2800-2680-9 ต่อ 4346