แพทย์หญิงอมรา มลิลา (จากอาจารย์ทางการแพทย์ สู่อาจารย์ผู้เผยแพร่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา)

แพทย์หญิงอมรา มลิลา

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 ณ บ้านพัก ซอยโปร่งใจ (ซอยศรีบำเพ็ญ) สาทร

จากอาจารย์ทางการแพทย์ สู่อาจารย์ผู้เผยแพร่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา

“1 วันภาวนา พาใจกลับบ้าน ตอนตำรับยารักษาใจ”
จัดโดย ชมรมกัลยาณธรรม ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2562

        ถ้าพูดถึงการเริ่มสนใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตอนที่ไปเพื่อทำบอร์ดกุมารเวชศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นที่สหรัฐอเมริกาข้อสอบของเด็ก High School ปีสุดท้ายเป็นข้อสอบเดียวกันหมดทั้งสหรัฐฯ เด็กที่จะสอบผ่าน High School ปีสุดท้าย และสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อสอบเดียวกันทั้งหมด และทางสหรัฐฯ จะตรวจข้อสอบ และจัดลำดับ โรงเรียน 10 โรงเรียนเป็นโรงเรียนดีเด่นของสหรัฐฯ ทีนี้ตอนนั้นเราอยู่ที่รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) เมืองที่อยู่ คือ ฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) ครูใหญ่โรงเรียนมัธยมปลายของฟิลาเดลเฟียอยากให้โรงเรียนของตัวเองเป็นหนึ่งใน 10 ด้วย จึงมีคนไปแนะนำครูใหญ่ว่า ต้องหาคนมาฝึกสมาธิให้เด็ก ถ้าเด็กมีสมาธิจะเรียนหนังสือดี เพราะฉะนั้นโอกาสที่สอบปีสุดท้ายจะได้เป็นหนึ่งใน 10 มีมากขึ้น ครูใหญ่จึงไปหาผู้สอนมาสอน ตกลงเกรด 9 10 11 12 4 ปีสุดท้าย ต้องทำสมาธิอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง ทีนี้พอทำสมาธิแล้ว จบชั่วโมงเด็กคนหนึ่งเล่าให้ผู้สอนฟังว่า เขาทำได้แบบนี้ ด้วยเด็กคนนี้มีจิตที่ผาดโผน พอจิตรวม เด็กบอกว่าเขาเหาะได้ ผู้สอนก็บอกว่า “...โอ๊ย!!! คุณคิดไปเอง...” เพื่อนก็ว่า “...คุณคิดไปเอง...” พอเด็กคนนี้ได้ยินแบบนี้จึงบอกว่า คราวหน้าเหาะได้เขาจะลืมตาดู ทุกคนก็บอก “...เฮ้ย!!! หนึ่งในล้านถ้าบังเอิญเหาะได้จริง ๆ พอลืมตามันหลุดจากสมาธิจะตกลงมาพิการแล้วใครจะเลี้ยง...”

        ครูใหญ่ท่านนี้มีความคิดว่าคนเอเชียทุกคน (ที่นับถือพระพุทธศาสนา) จะต้องทำสมาธิเป็นทั้งหมด ครูใหญ่จึงไปแจ้งผู้ดูแลนักเรียนต่างชาติว่า ถ้าเผื่อมีคนเอเชียมา เขาจะขอเบอร์โทรศัพท์ เพื่อจะติดต่อให้มาพูดคุยกับเด็กนักเรียนของเขา เมื่อครูใหญ่ได้เบอร์ของเราไป ครูใหญ่จึงโทรมาคุยและบอกกับเราว่า “...เขาให้ผู้สอนมาฝึกสมาธิให้เด็กของเขาแล้วก็อย่างงี้ ๆ เชียว...” เราสารภาพตามตรงว่า “...เราเป็นชาวพุทธแต่เกิดนะ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า พระพุทธเจ้านี่ สอนทำสมาธิก็คิดว่าการที่เรารู้จักศีล รักษาศีลครบถ้วน เราทำหน้าที่ความรับผิดชอบแล้ว ยิ่งเราเป็นหมอด้วยนี่ อู้ เราเป็นประชาชนชาวพุทธที่ดีเต็มที่แล้ว...” เขาบอก “...How come ในเมื่อผู้สอนที่มาฝึกนี่ ใช้วิธีของพระพุทธเจ้านะ...” เราก็งงสิคะ ครูใหญ่พยายามคุยโน้น คุยนี้ คุยนั้น ครูใหญ่พยายามจะคิดว่า ที่เราบอกว่าไม่เป็นของเรา เราต้องเป็น จนในที่สุดเขาก็บอกว่า ให้เราเล่าประวัติพระพุทธเจ้า เพราะว่า ประวัติพระพุทธเจ้าก็คงมีคุณมีประโยชน์ ทำให้เด็กพวกนี้เห็นว่า พระพุทธเจ้าปฏิบัติแบบนี้ ท่านถึงได้ความรู้แบบนี้มาสอนโลก ทำให้พระพุทธศาสนามีคุณมีประโยชน์ เราก็นึกว่า “...เออ เขาเป็นคริสต์นะ แล้วเขายังสนใจพระพุทธเจ้าของเรา ถึงให้มาเล่าประวัติ...” เราก็เลยรับ แต่เราไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน เพราะผู้สอนไปบอกลูกศิษย์ว่า วันนี้ ๆ ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากเอเชียมา เพราะฉะนั้นอะไรที่ผู้สอนอธิบายแล้ว พวกคุณยังไม่พออกพอใจ ยังข้องใจมากอยากจะไถ่ถามสามารถถามได้วันนี้ ถ้าเรารู้ว่าผู้สอนจะไปบอกนักเรียนแบบนี้ เราคงจะไม่รับปากครูใหญ่ไปอย่างนั้น

        ทีนี้พอเรามาถึง เราก็เล่าประวัติพระพุทธเจ้า แต่เด็กพวกนี้อยากจะถามคำถามเรา พอเราเล่าไปสัก 20 นาที เด็กเริ่มยุกยิก เราก็ถามว่า “...ทำไมหรือ...” เด็กคนหนึ่งถามว่า “...เขาขอถาม คำถามได้ไหม...” เราก็นึกว่าภาษาอังกฤษของเราไม่แข็งแรง เด็กคนนั้นก็ถามว่า “...เขาจะถามเรื่องพระพุทธเจ้าที่เราเล่าอะ...” เราก็บอกว่า “...เชิญเลย...” พอเด็กคนนั้นยืนขึ้นถาม เมื่อเราได้ยินคำถามของเขา เราถึงรู้ว่าเราตกม้าตาย ถามว่า “...ตอนทำสมาธิอย่างที่ผู้สอนสอน ก็ปรากฏว่าทำไปได้จิตสงบเป็นสมาธิ แต่เหาะได้...” เราเหงื่อแตกท่วมตัวเลย เพราะรู้ว่าเหาะได้ของเด็กจะทำอะไร เด็กก็บอกว่า “...พอบอกผู้สอน ผู้สอนก็ไม่ยอมเชื่อ พอจะลืมตาดูก็ขู่ว่า ถ้าเผื่อตัวเหาะได้จริง ๆ พอลืมตาหลุดออกจากสมาธิก็จะตกมาพิการ เพราะฉะนั้นวันนี้ คุณนี่จะต้อง ยืนยันว่าผมเหาะได้จริง ๆ หรือ คิดไปเอง...” ความคิดของเราตอนนั้น สมาธิเรายังทำไม่เป็น แล้วจะให้เรายืนยันว่าเหาะได้จริง ๆ หรือไม่ เราก็นึกในใจว่า “...นี่ ๆ ๆ ไม่ดูให้ถี่ถ้วนก็คิดว่ามาเล่าประวัติพระพุทธเจ้า เราเล่าได้นี่หน่า...” และเหมือนโชคจะเข้าข้างเรา พอดีว่าครูใหญ่มีธุระด่วน มีคนมาตามครูใหญ่ออกไปจากห้อง ครูใหญ่ยังไม่กลับเข้ามา เราก็อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ขอให้ธุระครูใหญ่ไม่เสร็จ ครูใหญ่อย่ากลับเข้ามา เราจึงบอกกับเด็กพวกนี้ว่า “...ครูใหญ่สั่งให้มาเล่าประวัติพระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกให้มาตอบคำถาม รอให้ครูใหญ่กลับมาก่อนนะ แล้วเราขออนุญาตครูใหญ่ก่อน เราอย่าเพิ่งทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาครูใหญ่เลย...” เด็กเขาก็น่ารัก ก็ตกลง ตั้งใจฟังต่อ พอเสร็จแล้วเขาก็บอกเองว่า “...ถึงคุณไม่ตอบคำถาม แต่หลาย ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านทำนี่ มันก็เหมือนตอบคำถามไปในตัว เดี๋ยวนี้เขาปลงใจแล้วว่า การทำสมาธิมีคุณประโยชน์ ไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า ๆ เขาจะตั้งใจทำ...” แหละเสร็จเด็กคนนั้นก็เดินมาส่ง และพูดกับเราว่า “...เมื่อไรคุณจะมาคุยกันอีกหละ แม้สนุก...” เราก็นึก “...ถ้าเรายังมีชีวิต มีสติอยู่นะ เราจะไม่เจอกันอีกเลย เพราะไม่แน่ว่าจะโชคดีอย่างนี้อีก...” พอเรากลับไปถึงที่พัก เราใจเหี่ยวแห้งนะ เราเหมือนกบเฝ้ากอบัว เรานึกว่าเราเป็นเจ้าของพระพุทธเจ้า เรารู้พระพุทธศาสนาอย่างดี เราปฏิบัติเต็มที่แล้ว ศีลของเราก็มี เราทำหน้าที่การงาน แม้เราเป็นแพทย์ เราเป็นประชาชนชาวพุทธที่ดีมาก ปรากฏว่า เด็กฝรั่งเหาะได้ ทำสมาธิ จิตมีพลัง เด็กเอาน้ำผึ้งไปหมด เราเป็นกบเฝ้ากอบัว และจากเหตุการณ์นั้นครั้งนั้นเป็นที่มาว่า ถ้าเรากลับมาถึงเมืองไทย เราจะต้องฝึก ฝึกปฏิบัติให้เป็น แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปฝึกที่วัด เพราะคิดว่ามีคอร์สทำนองปริญญาโท ปริญญาเอกให้เราเรียน พอกลับมาถึงอ่านดูแล้วก็ไม่รู้ เพราะเราไม่รู้ทางนี้จึงพักไว้ก่อน

        จนกระทั่งมาเจอกับเพื่อนที่เรียนโรงเรียนมาแตร์ (เดอีวิทยาลัย) ด้วยกัน ตอนนั้นก็เป็นช่วงที่ลาออกจากราชการ มาทำงานพิเศษเป็น job สอนคอร์สปริญญาโท ปริญญาเอก เพราะตอนนั้นบัณฑิตวิทยาลัยตั้งแล้วในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ก็เจอกับเพื่อน ระหว่างที่เราเริ่มเป็นนักเรียนเตรียมแพทย์ เพื่อนเริ่มรู้จักพระป่าแล้ว เพื่อนไปรู้จักพระวัดป่าสายอีสาน ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น (พระครูวินัยธรมั่น ภูริทัตโต หรือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) ทั้งหลาย ที่เจอกันวันนั้น คือ ท่านพระอาจารย์วัน (พระอุดมสังวรวิสุทธเถร หรือ พระอาจารย์วัน อุตตโม) ที่เครื่องบินตกพร้อมกับท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง (พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร) ตอนท่านมามีแพทย์ท่านหนึ่งอยากจะไปฟัง ซึ่งสถานที่ ที่จะไปฟังเป็นบ้านเพื่อนที่เรียนโรงเรียนมาแตร์ (เดอีวิทยาลัย) มาด้วยกันเป็นเจ้าของ และก็ถ้าเผื่อไม่รู้จักเพื่อนก็อาจจะไม่อนุญาต แพทย์ท่านนั้นจึงให้เราช่วยติดต่อและพาเขาไปหน่อย เราจึงได้ไปเจอเพื่อน

        

โครงการปฏิบัติธรรม ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

        เพื่อนคนนี้มีความตั้งใจอยากจะไปปฏิบัติธรรม เพราะเพื่อนรู้สึกว่าการไปปฏิบัติของเขาเหมือนไปฟังเฉย ๆ ไม่เหมือนผู้ชาย ผู้ชายสามารถบวชได้ เพราะฉะนั้นเพื่อนก็คิดว่า ถ้าเผื่อไปขอครูบาอาจารย์องค์ไหนแล้วก็อยู่ตลอด 3 เดือน เพื่อนก็น่าจะได้อะไรเหมือนกับบวชพระเช่นกัน เราบวชใจเรา แต่เพื่อนก็รู้อีกว่า บางวัดท่านจะไม่มีแม่ชี เมื่อไม่มีแม่ชี ผู้หญิงคนเดียวจะอยู่ลำบากก็ต้องหาผู้หญิงมาอยู่ด้วย ถ้าเผื่อไปหาชาวบ้านแถวนั้น เกิดวันไหนชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไม่ว่างเลยสักคนหนึ่ง เพื่อนก็ต้องออกจากวัดใช่ไหม สู้หาเพื่อนจากกรุงเทพฯ ไปดีกว่า เพื่อนก็กำลังอยู่ในขั้นตอนหาเพื่อนจากกรุงเทพฯ 3 เดือนไปอยู่ที่วัดด้วย แล้วใครจะไปอยู่กับเขา จำได้ว่าวันนั้นเพื่อนไปคุยกับคุณแม่ของเราเรื่องขอตัวเราไปอยู่วัดเป็นเพื่อน 3 เดือน ด้วยความที่คุณแม่กลัวว่าเราจะไปอยู่ต่างประเทศยาว เพราะเห็นว่าเขียนจดหมายติดต่อเพื่อนที่ต่างประเทศบ่อย ๆ และยิ่งเราลาออกจากราชการมาระยะหนึ่ง ยังไม่ยอมทำงานประจำ คุณแม่จึงเริ่มกังวลว่าลูกสาวคนเดียวจะไปอยู่ต่างประเทศอีก เพราะตอนไปเรียนหนังสือ 6 ปีกว่าก็ยาวนานเหลือเกินแล้ว ดังนั้นพอเพื่อนของเราบอกคุณแม่เรื่องหาคนไปอยู่วัดด้วย 3 เดือน คุณแม่รีบบอกเลยว่า “...รีบมาเอาแม่แป้นไปเลย...” นับเป็นโชคดีของเพื่อน เพราะถ้าเผื่อให้เราเป็นคนพูด คุณแม่คงไม่ให้ไป จากตรงนี้ถึงบอกว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เราตามเพื่อนไป การที่เราตามเพื่อนไปในครั้งนั้น เราไม่รู้อะไรเลย เราไม่เคยรู้ว่ามีเรื่องการปฏิบัติ แม้กระทั่งร่างกายชีวิตของเราที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าเป็น “ขันธ์ 5” แบ่งเป็นกอง ๆ 5 กอง ร่างกายเราก็เป็นรูป ใจก็แบ่งเป็น 4 อาการ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

        เมื่อเราไปถึงท่านพระอาจารย์คุยกับเพื่อน ท่านบอกว่า “...อาจารย์ใจกว้าง จะพิจารณา จะภาวนาวิธีไหนอะไรอะไรอาจารย์ไม่ว่า เพราะพระพุทธเจ้ามีถึง 40 วิธี นกก็บิน ปลาก็ว่ายน้ำ วิธีไหนอาจารย์ก็ไม่ว่าทั้งนั้น ขอให้มันไหลลงสู่มหาสมุทรเดียวกันก็แล้วกัน...” สิ่งนี้คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านพูดต่อว่า “...เออ นี่นะ ถ้าเผื่อเรารู้จัก ขันธ์ 5 ตามธรรมชาติ มันก็จบเรื่อง ทุกวันนี่ เพราะสติของเราเลอะเทอะ มันถึงเป็นอุปาทานขันธ์ 5...” ขันธ์ 5 ๆ ๆ เราก็ไม่เข้าใจ ท่านก็ไม่อธิบาย ท่านพอใจมากที่เราไม่รู้อะไรแบบนี้ และท่านเหมือนกับอ่านใจเราได้ เรานึกว่า แม้เครื่องตรวจคลื่นสมองของเราเก๋ที่สุดแล้ว ไม่ได้นึกว่าครูบาอาจารย์ พระพุทธเจ้าท่านอ่านใจเรา ท่านอ่านได้เป็นคำพูดเลย คือ ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่านั่งฟังกันอย่างนี้อีก ท่านรู้ว่าเราไปเจอฝรั่งเหาะได้มาแล้ว ท่านคุยกับเพื่อนและเล่าถึงเวลาธุดงค์ไม่มีครูบาอาจารย์ แต่ถ้าเจอเพื่อนสหธรรมิกกันที่มีความรู้มากกว่าเรา เหาะได้ ท่านก็แก้ให้เราได้ จากนั้นท่านก็เล่าถึงท่านเจอสหธรรมิก ท่านเล่าว่า “...ผมไม่รู้จะทำยังไงพอจิตรวม ผมเหาะได้ทุกทีเลย...” โอ๊ย!!! เราดีใจมาก เดี๋ยวเถอะ ๆ เราจะไปขอไปอยู่กับพระองค์นี้แหละ เพราะจะเหาะให้ได้ เพราะเราคิดอย่างนี้ค่ะ ท่านก็พูดต่อคุยกับเพื่อนเราอยู่ ท่านก็พูดต่อเหมือนเรื่องเดียวกัน “...ไส้เดือนมันก็ดำดินได้ นกมันก็บินได้ แต่กิเลสมันก็ยังเต็มตัว มันก็ยังมาเกิดตายทุกข์อยู่อย่างเงี่ย ไปเอาทำไมไอ้วิชาอย่างนั้น ทำไมไม่เอาใบไม้กำมือเดียวของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้เรารู้กิเลสของเรา แล้วก็ทำกิเลสให้หมดสิ้นไป...” เรายังไม่รู้ว่าท่านอ่านใจเราได้ เวลาเราฟังท่าน เราก็ทำตัวเหมือนเวลาเราฟังเลคเชอร์ตอนเรียน คือ คิดตามสิ่งที่เราได้ฟัง เราก็นึกในใจว่า “...ก็มันสนุกอะท่านพระอาจารย์...” ท่านพูดต่อว่า “...สนุกเถลไถลอย่างงี้มากี่อสงไขยแล้วหละ แล้วไม่เบื่อบ้างหรือ ให้เวลามันกลืนกินชีวิตเราไปเปล่า ๆ อย่างงี้...”

        ตอนนี้เราชักเริ่มแล้ว เอ๊ะ!!! แต่ก็ยังสงสัย ท่านพูดต่อว่า “...จะทำยังไงก็ทำไป...” เราก็นึก เราไม่รู้ก็เพื่อนเขารู้แล้ว ท่านพระอาจารย์ตอบมาเลย ท่านบอกว่า “...อาจารย์จบแค่ประถม 3 เท่านั้น หลับตาปอกกล้วยเข้าปากยังยาก หลับตาปอกกล้วยเข้าปากนี่ยังยากกว่าทำสมาธิอีก...” ตอนนั้นพอเรานึกตามสิ่งที่ท่านพระอาจารย์พูด เอ๊ะ!!! เรามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ไม่ได้มาท้าตีท้าต่อย แต่สิ่งที่ท่านพระอาจารย์พูดคือ วิธีการสอนของท่าน ท่านจะให้เราเห็นว่าตัวแรกที่จะต้องถล่ม ก็คือ ตัวเราของเรา และ ตัวเราเองมีความเป็นตัวเราของเราใหญ่นัก ท่านพระอาจารย์จึงเริ่มจัดการเลย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าท่านสอนแบบวิชาที่ครูบาอาจารย์สอนเรา คือ จับมือปั้น หรือ บอกล่วงหน้า นั่นเป็นความจำ เป็นสัญญา มันไม่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นท่านพูดแบบนี้ ถ้าเผื่อเรานำไปคิด ไตร่ตรองและเราอุปมา อุปมัย แล้วเป็นปัญญาสอนเราได้ อันนั้นถึงจะเป็นของแท้จริงของเรา ท่านไม่บอก เราไม่รู้ เราก็คิด เราเป็นครูสอนนักเรียนแพทย์ เราสอนอย่างไร เพราะฉะนั้น เรามาท่านคงจะต้องบอกเราว่านั่งขัดสมาธิอย่างไร มือซ้อนกันอย่างไร เราไปคิดเอาไว้ ท่านก็รู้อีกว่าเราคิดอะไรเอาไว้ เพราะฉะนั้นคิดอะไรเอาไว้ ฉันไม่ทำตามที่เจ้าคิดสักอย่างหนึ่ง คือ มือมันคนละชั้น แต่เราก็โชคดีที่เราได้เจอของแท้ของจริงเลย แต่ตอนแรกเราเมา งงไม่เข้าใจเลย ตอนไปเมืองนอกก็คิดว่า เราไม่รู้ภาษาอังกฤษ เราต้องไปซักประวัติ และบางทีก็จะมีภาษาอังกฤษแบบเป็นภาษาพูด อย่างสมมุติภาษาเขียน ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ แต่เวลาพูดกับเรา เราก็จะบอกว่า ฉี่ยังไง อึยังไง แล้วเราซักประวัติผู้ป่วย เราก็ไม่รู้ศัพท์พวกนี้แล้วเราจะทำอย่างไร แต่ปรากฏว่าไม่เป็นอะไรเลย แต่พอมาเข้าวัดปรากฏว่าพูดภาษาไทยด้วยกัน แต่พูดกันไม่รู้เรื่อง มันไม่เข้าใจกัน แต่พอเราเริ่มเข้าใจแล้วก็ดี

        ตกลงว่าท่านพระอาจารย์สอนเราด้วยวิธีการนี้ ก่อนท่านพระอาจารย์ลุกออกไป ท่านบอกว่า “...จะทำวิธีไหน วิธีไหนก็ทำไปอาจารย์ไม่บอกว่าจะต้อง ตื่นขึ้นมาแค่นั้น เดินจงกรมแค่นั้น นั่นท่านั้น เราโตกันแล้ว เรามีความรับผิดชอบกับตัวเราเอง ไม่โกงตัวเอง เราต้องใช้ทุกเวลานาทีที่ลืมตาตื่นนี่ที่จะให้มีสติอยู่กับใจไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน...” พอท่านลุกไปแล้วเราก็ถามคุณแม่ชี “...ทำไมขัน ต้อง 5 ใบ ละคะ...” เขาก็ขบขันมากก็อธิบายว่าขันธ์ 5 มันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ แต่รุ่งเช้า ชาวบ้านหมดทั้งหมู่บ้านเลยรู้หมดว่า เราไม่รู้จัก ขันธ์ 5 คิดว่า ขันธ์ ต้องมี 5 ใบ เพราะไปถามเขา ขันใบ 1 ใบ 2 ใบ 3 ใบ 4 อยู่ที่ไหน ตกลงเราทำอะไรเชย คุณแม่ชีกระจายทั่วจักรวาลหมด เพราะฉะนั้นท่านพระอาจารย์ท่านก็สอนเราแบบที่คุณแม่ชีไม่รู้ คุณแม่ชีนึกว่าท่านพระอาจารย์เอาเราไว้ลบฝีปากเล่น การสอนของท่านแบบนี้กว่าจะรู้เรื่องกัน เราเมาไปหลายรอบเลยค่ะ แต่ก็สนุก

        เมื่อท่านพระอาจารย์เห็นว่า เราเริ่มที่จะเข้าใจ ท่านบอกหนังสือไม่ต้องไปอ่าน เพราะว่าถ้าอ่านแล้วเดี๋ยวก็คิดเอาว่า อ่อหนังสือมันว่าอย่างนี้ จริง ๆ เรายังไม่ถึง แต่เราไปคิดว่าเราจะเป็นอย่างนั้น มันไม่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรู้อะไรเลย นั้นแหละดีแล้ว ๆ ถ้าอยากอ่านไปที่ตู้พระไตรปิฎก คือ ที่ใจตัวเองเราก็นึกใจในว่า โอ๊ย!!! ตู้พระไตรปิฎก เราก็ไม่รู้ ตู้พระไตรปิฎกเป็นอย่างไร ภาษาบาลีเรายังไม่รู้เลย คือ เรียกว่า โอ้โห!!! เมาจริง ๆ เลยค่ะตอนนั้น แต่ก็ดี เพราะถ้าเผื่อเรารู้มันก็คงยากที่จะแยกแยะว่า อันนี้เราจำเอาไว้ หรือ เรารู้จริง ๆ อย่างนี้ เพราะตอนแรกทำสมาธิ เพื่อน ๆ เขาก็ ครืด ๆ (แบบลงต่ำลง) อย่างนี้ ของเราไม่ มันเหมือนกระป๋องมีสำลี มีนุ่นอยู่ เดี๋ยวมันก็วิป ฟุ้ง ซ่าน วับ ฟุ้ง ซ่าน อยู่กับลมหายใจ เสร็จแล้วพอใจเรานิ่ง จริง ๆ มันค่อย ๆ แน่นปึกขึ้นมา ไม่รู้มันรู้แบบไหนว่าสมาธิมันแน่นเหมือน แผ่นหินแบบนี้ เราก็ควรจะอยู่ดูมันต่อไป ตอนนั้นเราก็ เอ๋ ติวเตอร์บอกมันต้อง ครืด (ตกลง) ลงแบบนี้ นี่มันอย่างนี้นี่ (เรียบระนาบกับพื้นดิน) ไม่ได้ต้องครืด พอคิดแบบนี้เราจึงหลุดจากสมาธิ แล้วท่านพระอาจารย์ก็มาเทศน์ แต่ท่านก็เหมือนเดิม อุปมาอุปมัยไม่บอกตรง ๆ ท่านบอกว่า “...นี่นะ เออ ถ้าเราเอาก้อนหินทิ้งน้ำนี่มันก็ตัดน้ำฟึบ ๆ แล้วก็กึ้ง ครืด ๆ ๆ กึ้ง...” แบบที่ติวเตอร์สอน “...แต่ถ้าเอาเม็ดทรายทิ้งน้ำนี่มันก็ไม่ครืด มันก็ไม่กึ้ง เข้าใจไหม...” เราตอนนั้นการเอาก้อนหินทิ้งน้ำ กับ เม็ดทรายทิ้งน้ำเราเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจว่าท่านจะเปรียบเทียบคุณแม่ชีกับเพื่อนเรา 2 คนนี้เหมือนกัน ทั้ง 2 คน ทำงานประชาสัมพันธ์ คุณแม่ชีเขาก็คนโน้นคนนี้มาวัด เขาก็ต้องพูดคุยอย่างโง้ อย่างงี้ ทั้งวันที่เขาอยู่ใจมันก็เหมือนก้อนหินหนัก ๆ พอมันนิ่ง ครืด ๆ กึ้ง แต่เราวันทั้งเราต้องทะเลาะกับแม่ของผู้ป่วยบ้าง เด็กร้องไม่ยอมให้เราฉีดยาบ้าง แล้วเราก็ต้องพูดเอาอกเอาใจ พูดเกลี้ยกล่อม ถึงเราจะโกรธอย่างไร เราก็ต้องยิ้มเอาไว้ เราก็ต้องเงียบเอาไว้ จึงเหมือนว่าใจเราภาวนาอยู่แล้ว มันก็เหมือนเอาเม็ดทรายทิ้งน้ำ ไอ้ที่เปลี่ยนระดับในชีวิตประจำวันเรามานั่งภาวนาเราจึงไม่ครืด ไม่กึ้ง มันถึงฟุ๊บ ฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านหน่อย แล้วก็ปึก เข้ามาอย่างนี้ (ชนกันเป็นหน้ากระดาน) ท่านก็มาเปรียบเทียบให้ฟังว่า “...เออนะคนเราก็อยากขึ้นสวรรค์กันทั้งนั้นเลย แล้วก็แปลกนะอาจารย์ก็เห็น พอขึ้นสวรรค์ได้ก็มันครืด เข้ามาแบบนี้แล้วเราก็ควรจะดูมันต่อ แทนที่จะนั่งให้มันชื่นอกชื่นใจ เออ กลับไปชะโงกตรงหน้าต่างตกลงมาแข้งขาหัก เพราะเรามัวแต่ครืดซิ มันก็เลยกึ้งหลุดออกมาเลย คราวนี้ก็กระจุยออกมาหมดเลย...” คือ เราก็คล้าย ๆ จะเข้าใจแต่มันก็ไม่เข้าใจ และเราก็ไม่รู้จริตของเพื่อนกับจริตของเราต่างกันอย่างไร เรายังไม่เคยที่จะพิจารณาอะไรอย่างนั้น เราก็ “...ท่านอาจารย์พูดอะไรนะ...” ท่านก็หัวเราะ ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเรานั้นแหละคือไอ้ตัวที่ท่านหาว่าตกหน้าต่างสวรรค์ลงมา พอเราถามเหมือนท่านจะไม่ตอบ อยากให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง แล้วท่านก็พูดว่า “...เอาหละอาจารย์ก็จะไปภาวนาของอาจารย์ ศิษย์ก็ไปภาวนาของศิษย์ ใครทำใครก็ได้ ใครกินใครก็อิ่ม...” ท่านจะสอนเราด้วยวิธีการแบบนี้

        

1 วันภาวนากับแพทย์หญิงอมรา มลิลา ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ สวนโมกข์กรุงเทพ

        ยกตัวอย่าง ท่านจะสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน เพราะเราไปยึดว่า คนเราพูดคำไหนก็ต้องรักษาคำพูด ต้องมีความซื่อตรง รักษาคำพูด เสร็จแหละเราก็บอกว่าจะต้องรักษาคำพูด เหมือนเดิมท่านจะไม่บอก เหตุการณ์ตอนนั้นเราจะเริ่มฝึกปฏิบัติกัน ปกติคนที่ไปปฏิบัติต้องอยู่กุฏิละคน แต่ด้วยเหตุใดไม่รู้ท่านพระอาจารย์ให้เราอยู่กุฏิใหญ่ที่ญาติโยมมาถวายกฐิน ท่านบอกว่า เราจะได้บุญอยู่กับเพื่อนเราที่นี่ ทีนี้พอเราอยากเดินจงกรม เพื่อนก็อยากนั่งสมาธิ เมื่อเราเดินไม้กระดานมันลั่นมีเสียง เราเกรงใจเพื่อน เราไปเห็นว่ามีกระท่อมน้อย ๆ อยู่ตรงทางจงกรม แต่เสียอย่างเดียวมันมีตุ๊กแก เราเป็นคนกลัวตุ๊กแก เพราะเมื่อตอนเด็ก ๆ พี่เลี้ยงขู่ไว้ว่า ถ้าตุ๊กแกกัดเราแล้วมันไม่ปล่อย แล้วถ้าเผื่อเกิดเรานอนเท้าเราไปติดมุ้งกลด ตุ๊กแกมางับเข้าเราก็จะแย่ ตอนนั้นเราก็กลัว ๆ กล้า ๆ ท่านพระอาจารย์ก็มาทีเดียวเชียวคืนนั้น ท่านก็ถามไถ่ แล้วท่านก็บอกให้คุณแม่ชี เอามุ้งกลดให้เราแล้วก็ให้ไปอยู่ตูบ เราก็ตายแล้ว ยังไม่มีเวลาเจรจากับตุ๊กแก ก็คิดว่าจะผัดผ่อนพรุ่งนี้เช้า ท่านก็คล้าย ๆ กับว่า ถ้าเราไม่ไปคืนนี้ ท่านก็จะนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเวลาไปบิณฑบาต เราจึงต้องกัดฟัน อุ้มสมบัติไปและเอาไม้กวาดทางมะพร้าวจะได้ไปเคาะ ๆ ตรงชานเข้าห้องที่จะนอน เราจึงเจรจากับตุ๊กแกว่า “...เราแบ่งกันนะ เจ้าอยู่ข้างนอกฝา 4 ฝานี้ เราอยู่ในฝา 4 ฝา แล้วเราเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกัน เราจะไม่รังแกกัน ไปเคาะ ๆ บอกมัน...” คืนนั้นดีมากเลยเสียงอะไรกิ๊ก อะไรกั๊ก โอ๊ย!!! สติตื่นตัวรวดเร็วเชียว พอเราอยู่ไปได้สักพัก อ้าวตุ๊กแกเชื่อฟัง คราวนี้หลับสนิทเลย เพราะเราหลับ ๆ ตื่น ๆ มา 3 คืนแล้ว

        แต่ทีนี้พอมั่นใจว่าตุ๊กแกไม่รังแกกันแล้ว เราก็หลับอย่างเกินไป แล้วท่านพระอาจารย์เล็งเห็นท่านก็มาใหม่ ถามว่า ใครอยู่ที่ตรงไหน ท้ายทางจงกรมของเรา คือ รั้วลวดหนามที่เขาใช้เป็นทางลัด ถ้าเขาออกทางนี้ เขาไม่ต้องออกทางประตูใหญ่ เขาย่นระยะการเดินไปได้ครึ่งกิโลเมตร เราก็ไม่เคยรู้ เพราะเถาวัลย์บังเอาไว้ และตอนนั้นคอมมิวนิสต์ยังเต็มอีสาน ท่านก็บอก “...แล้วถ้าเผื่อคอมมิวนิสต์มันยื่นมือมาคีบจมูกหมอไป อาจารย์จะเอาลูกสาวที่ไหนมาใช้พ่อแม่...” เราก็นึกในใจ ก็ท่านพระอาจารย์เป็นคนบอกให้เรามาเอง ทีนี้คุณแม่ชีรู้มุกนี้ของท่านละ เขาก็ทำสมาธิกันไม่สบตาเรา เราจะอ้างว่าท่านพระอาจารย์พูดอย่างนี้ก็ไม่มีใครเป็นพยานให้เรา ตอนนั้นจากที่ท่านพระอาจารย์พูด เราก็ควรจะได้สติ แต่ ณ เวลานั้นเราก็ยังไม่ได้สติ ไม่ได้เถียงกันแล้วเราต้องชนะให้ได้ เราจึงบอกท่านว่า “...ท่านพระอาจารย์เจ้าคะศิษย์ไม่พูดกับท่านอาจารย์หละ จะเขียนจดหมายบอกที่บ้านให้เขาส่งเครื่องอัดเทปมา แล้วท่านพระอาจารย์พูดอะไรจะอัดเทปเอาไว้แล้วก็มาไขให้ท่านพระอาจารย์ฟัง...” ท่านพระอาจารย์ก็ทุบเปรี้ยง!!! ที่กระดาน “...ไอ้สิงห์ทองตัวนี้พูด ก็ฟังไอ้สิงห์ทองตัวนี้สิ อีตัวเก่าที่พูดมันก็กลายเป็นลม เป็นอากาศธาตุไปหมดแล้ว...” เราจึงคิดว่า ถ้าเรามีสติ เมื่อท่านพูดว่าไอ้สิงห์ทองตัวนี้ นั่นคือปัจจุบันนี้ เราต้องได้สติ เพราะท่านจะสอนเราให้อยู่กับปัจจุบัน แต่ด้วยความที่เรายึดไง เรายึด เพราะเราไปคิดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้คนเราต้องมีสัจจะ ต้องรักษาคำพูด และท่านเป็นคนบอกให้เรามาอยู่เอง เพราะฉะนั้น โอ๊ย!!! ตอนนั้นโมโหมาก เราก็นึกในใจว่า “...เออไม่อยู่แล้ววัด พรุ่งนี้เช้ากินข้าวก็จะเดินกลับบ้านแล้ว...” ท่านพระอาจารย์ก็คงเห็นแล้วว่าเราขนาดหนักแล้ว ท่านก็เงียบไป เงียบไปนิดหนึ่ง เสร็จแล้วท่านก็เริ่มต้นพูด เหมือนยังกับเมื่อสักครู่เราไม่ได้วิวาทกันเลย

        ท่านก็เล่าถึงสมัยท่านออกบวช และตั้งใจที่จะปฏิบัติให้พ้นทุกข์ แต่ทีนี้ชาวบ้านหมู่บ้านโน้น นี้ เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาหากมีพระมาจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านได้ พวกชาวบ้านเชื่อว่าจะได้บุญ เพราะเมื่อชาวบ้านทำการงานและกิจธุระส่วนตัวในแต่ละวันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะมาสวดมนต์ไหว้พระ และมีท่านพระอาจารย์เทศน์ให้ฟัง ชาวบ้านก็จะได้ปฏิบัติด้วย เขาก็ถือว่าเป็นบุญสูงส่งของเขาแล้ว ทีนี้ท่านก็บอกเออนะ ตอนนั้นเราก็หลงกิเลสให้เขามา หมู่บ้านโน้นก็ท่านชอบอะไร หมู่บ้านนี้ท่านชอบอะไร ก็พยายามเอามากราบเรียนท่าน แล้วก็นิมนต์ให้ท่านอยู่ ท่านก็ 3 พรรษาแล้ว ที่อยู่หมู่บ้านต่าง ๆ ไม่เอาแล้ว พรรษานี้พอออกพรรษาแล้ว เมื่อตอนธุดงค์ไปที่ต่าง ๆ ต้องเตรียมหาที่ไว้สำหรับจำพรรษาช่วงเช้าพรรษาหน้า ท่านจะได้จำพรรษาในถ้ำจะไม่ยอมอยู่หมู่บ้านไหนแล้ว แหละทีนี้ กฎของพระธุดงค์ พอปักกลดแล้ว ต้องอยู่ตรงบริเวณนั้นตลอดจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ ถึงจะถอนกลดได้ เพราะพระธุดงค์บางทีก็ธุดงค์ไปวันต่อวันต่ออย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ถอนกลดได้ค่ะแต่ถ้าเผื่อระหว่างกลางคืนนั้น ถอนไม่ได้ ตอนนั้นท่านเลือกถ้ำเปิดไม่อับ ไม่เหม็นมูลค้างคาว ข้างหน้ามีพลาญหินออกมาเดินจงกรมข้างหน้าได้ นั่งสมาธิได้ ถ้าเผื่อฝนไม่ตก ทีนี้ท่านก็ไม่ทราบว่า ที่ท่านเลือกปักกลดเป็นร่องน้ำไหล เวลาฝนตกเยอะน้ำจากภูเขาจะไหลเข้ามาในถ้ำ เพื่อไปลงลำธาร ท่านก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่น้ำไหล เพราะถ้าตรงไหนที่น้ำไหลผ่าน พื้นจะเรียบไม่มีตะปุ่มตะป่ำ เมื่อท่านเห็นว่าร่องน้ำนี้หละมันเรียบดี ท่านจึงปักกลด ปูผ้ารองนอนบริเวณนั้นทันที ท่านอยู่บริเวณนั้นได้ 7 – 10 วันยังไม่มีฝนตก และคืนนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก ตรงบริเวณร่องน้ำน้ำท่วมขึ้นมา ท่านต้องเก็บทุกอย่างเข้าไปในบาตร เพราะแต่ก่อนพระธุดงค์ไม่มีกระเป๋าเดินทางอย่างเรา ต้องใช้บาตรเป็นกระเป๋าเดินทาง น้ำก็ยังปริ่มขึ้นมา ท่านจึงต้องนำบาตรตั้งบนหินแล้วก็ขึ้นไปนั่งยอง ๆ อยู่บนฝาบาตร เรานั่งฟังท่านเล่ามาถึงตอนนี้ เราลืมไปแล้วว่า เราทะเลาะกับท่านอยู่ เราก็ “...ต๊ายตาย!!! ครูบาอาจารย์นะกว่าจะได้ธรรมะมาสอนเรา เหมือนนกอะมันเกาะก้อนหินอะ แล้วก็เปียกนะ แล้วก็ไปไหนก็ไม่ได้ โอ๊ย!!! เรายังมีกุฏิน้อย ๆ หลังคามุงหญ้าก็เถอะ ก็ยังมีฝากั้นไม่ให้ฝนสาดได้...” พอเราคิดอย่างนี้ปุ๊บ ท่านหยุดกึกเลย แล้วท่านก็หันมา “...อาจารย์จำได้ว่าตอนที่ศิษย์จะมาอยู่ปฏิบัตินี่ก็ไม่ได้ออกบัตรไปเชื้อไปเชิญ มาเองด้วยน้ำใสใจสมัคร คนจริงเราไม่กลัวหรอก กลัวแต่คนไม่จริง...” พอเราฟังแบบนี้ เราตกม้าตายอีกแล้ว ไม่กลับแล้วจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเราก็คนจริง

        ท่านพระอาจารย์ยังไม่แน่ใจในตัวเรา เพราะวันก่อนนั้นยังเล่าถึงเรื่อง พระเวสสันดร พูดถึงตอนที่กัณหาน้อยใจพระเวสสันดร เพราะพระเวสสันดรไม่ใช่ว่ารังเกียจจะให้ไปกับชูชกหรอก แต่ถ้าเผื่อพระเวสสันดรเป็นอะไรไป ทั้งลูกเมียอยู่ในนี้ตายแน่ จึงหาทางว่าทำอย่างไร จะส่งให้กลับเข้าเมืองให้ไปอยู่กับพระเจ้าสัญชัยกับปู่ย่าได้ ด้วยชูชกเป็นคนโลภก็เลยตั้งค่าตัวเอาไว้ ชาลีโตแล้วเข้าใจจึงขึ้นมาจากสระ ยอมที่จะไปกับชูชก แต่กัณหากลัวยังซ่อนอยู่ใต้กอบัว และเรียกพระเวสสันดรว่า “...พ่อแก้วช่วยด้วย ช่วยด้วย...” ท่านก็ถ้าเราช่วยและเราเป็นอะไร ลูกก็จะตายอยู่ในป่าจึงทำใจแข็ง กัณหายังเด็กไม่เข้าใจ กัณหาจึงบอกว่า “...พ่อแก้วเราจะไม่เป็นพ่อลูกกันอีกแล้ว...” เห็นไหม เจ้าชายสิทธัตถะถึงมีลูกคนเดียวคือ ชาลี มาเป็น ราหูล แต่กัณหาจึงเป็นนางอุบลวรรณาเป็นลูกของเสนาบดีไป แต่ก็ได้ฟังธรรมแล้วก็บรรลุธรรม เพราะว่ามาบวชเป็นภิกษุณีได้เป็นพระอรหันต์ ตามที่พระเจ้าทีปังกรณ์ให้พรไว้ ท่านพระอาจารย์นำตรงนี้มา คนจริงอาจารย์ไม่กลัว กลัวคนจะไม่จริง “...ผู้หญิงก็อย่างงี้ เปลี่ยนใจวันละ 500 หน...” โอ้คราวนี้เราเสร็จเลย เป็นตายร้ายดีก็จะทำให้เห็นว่าผู้หญิงก็คนจริง และนี้ก็คือวิธีสอน วิธีปฏิบัติ จากพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร

        เมื่อกลับมาจากการไปปฏิบัติธรรมกับเพื่อน 3 เดือน เพื่อน ๆ ที่เป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชชวนไปทานข้าวกลางวัน แต่ก่อนนั้นตอนเราอยู่ที่วัดเราทานมื้อเดียว แต่ไปทานกับเพื่อนประมาณ 7.30 – 8.30 น. เราจึงถามท่านพระอาจารย์ว่า ถ้าเราทานอาหารเช้าของเราเสร็จ ทีนี้พอเพื่อนชวนไปเราก็ไปพูดคุยกับเขาแต่ไม่ทานกับเขา เพื่อนก็บอกว่า “...เหมือนอย่างกับไปนิมนต์พระให้มานั่งดูเขากินข้าวใครจะไปกินลง...” จึงถามท่านพระอาจารย์อีกว่า ถ้าเผื่อเราไม่ทานมื้อเช้า เราไปทานตอนสาย แต่เราไม่ถือว่าเราทานเวลาเพล เพราะว่าเพื่อน บางทีเที่ยงกว่าก็ยังทานใช่ไหม เราเอาเป็นว่าทานมื้อเดียวก็จริงแต่เราไม่ดูนาฬิกา เราดูตามความสะดวก เพราะเราไปปฏิบัติ เราก็อยากให้เพื่อนเรารู้และเขาก็ปฏิบัติได้ด้วย ท่านก็บอกเราว่า “...ก็ดูใจเรา เราถือศีลใจเรา...” แต่ไม่ใช่ว่าวันนี้ขี้โกงไม่ทานข้าวเช้าจะไปทานกับเพื่อน เพราะเพื่อน ๆ เขาบอกว่าจะไปเลี้ยงไอศกรีมของชอบเรา ถ้าอย่างนั้นไปก็ได้แต่ต้องไม่ทานไอศกรีมเลย คล้าย ๆ กับว่าต้องดูใจเราเป็นสำคัญ จะเที่ยงหรือไม่เที่ยงยังไงไม่ว่า เพราะอย่างตอนที่อยู่ที่วัด ชาวบ้านเขาเคร่งครัดมาก อย่างเราจะส่งของกับผู้ชาย ผู้ชายจะบอกให้วางกับพื้น และเขาจะให้อะไรเราเขาก็จะวางที่พื้นแล้วเราก็หยิบเอา ทีนี้พอช่วงหนึ่ง พวกชาวบ้านผู้หญิงและเด็กไม่สบายเป็นหวัดเราก็ตรวจเขา ผู้ชายเขาก็มาบอกท่านพระอาจารย์บ้างว่า อยากให้เราตรวจให้บ้าง เราจึงแจ้งกับท่านพระอาจารย์ว่า ถ้าตรวจพวกผู้ชายนี่เราต้องจับตัว ต้องตรวจ เพราะถ้าให้ตรวจอาการจากการดูและหูก็ฟังไม่ได้ เพราะถ้าต้องจ่ายยาด้วยจะอันตรายมาก ตกลงท่านพระอาจารย์ก็บอก “...ก็ดูศีลใจซิ ถ้าเผื่อเราคิดว่าเขาเป็นผู้ป่วยแล้วเราจับเขาก็เหมือนกับจับวัตถุอะไรธรรมดา ก็ทำไป แต่ถ้าเผื่อเกิดจับขึ้นมาแล้วเกิดมีความรู้สึกอย่างโง้น อย่างงี้ขึ้นมา ก็ต้องไม่ตรวจเขา คือดูใจ...” ศีล คือ ศีลใจเรา เราก็ทำแบบนี้มาเรื่อย ๆ ทีนี้ก็พอเป็นแบบนี้

        พอกลับมาถึงเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นประธานชมรมพุทธที่โรงพยาบาลศิริราชเค้าดีใจมาก ชมรมพุทธที่โรงพยาบาลศิริราชในเดือนเมษายนจะเว้นไม่มีบรรยายไม่มีกิจกรรม โดยปกติจะมีบรรยายทุกพุธ ตั้งแต่เที่ยงถึงบ่ายโมง เพื่อจะให้คนมาปฏิบัติ โดยใช้ชมรมพุทธเป็นห้องปฏิบัติ พอเขารู้ว่าเรากลับมา เขาก็บอกว่า ให้เรามาบรรยาย 4 ครั้งติดกันเลย บรรยายเรื่องการปฏิบัติ จะให้เราบรรยายทุกพุธติดต่อกัน เพราะว่าพอนิมนต์พระมาจะถามก็อายพระเดี๋ยวพระก็ว่าแพทย์ทำไมไม่รู้ เหมือนกับเราตอนนั้นค่ะ ขันธ์ 5 ยังไม่รู้จักเลย ถ้าเชิญฆราวาสมาก็ยิ่งอายฆราวาสใหญ่ไม่กล้าซักถาม ส่วนเราคนกันเองจะได้พูดกันได้เต็มปากเต็มคำว่า จะเอายังไง เราจึงตอบตกลง

        การบรรยายครั้งนั้นเราได้พบกับ ศ.นพ.สุด แสงวิเชียร อดีตหัวหน้าแผนกกายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อาจารย์เกษียณมาสักระยะแล้ว อาจารย์เล่าว่า สมัยที่อาจารย์ยังทำงานอยู่ อาจารย์ไปที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ตอนนั้นพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ ท่านลงมาพักอยู่ที่วัดบวร (นิเวศราชวรวิหาร) ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์ ท่านอาจารย์สุดก็ห่วงงานไม่ได้ฟังในสิ่งที่พระอาจารย์มั่นเทศน์ คราวนี้อยากปฏิบัติก็ไม่มีท่านพระอาจารย์มั่น เราก็นึก ท่านอาจารย์สุดคือผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาแพทย์ให้เรา ถ้าเผื่อเราสามารถนำเรื่องราว หลักธรรมคำสอนต่าง ๆ ของท่านพระอาจารย์มาเล่า แล้วอาจารย์สุดมาฟัง และสามารถปฏิบัติได้ โอ๊ย!!! เราก็จะชื่นใจเหมือนเราได้ตอบแทนพระคุณท่าน เราจึงตั้งใจบรรยายมาก ๆ เลยค่ะ นับเป็นครั้งแรกสุดที่ไปบรรยายที่โรงพยาบาลศิริราชในจำนวน 4 ครั้ง และการบรรยายทั้ง 4 ครั้งในครานั้น มีการถอดเทปออกมาและทำเป็นหนังสือ ชื่อ “อย่างไรคือภาวนา” ก่อนที่จะตอบตกลงมาบรรยายให้ที่โรงพยาบาลศิริราช เราก็พูดกับท่านพระอาจารย์ว่า “...เราไม่กล้ารับ...” ท่านพระอาจารย์บอกเราว่า “...ก็เราพูด แต่สิ่งที่เรารู้แล้วก็เอามาทำให้เพื่อน ๆ เขาเข้าใจ เขาปฏิบัติได้ มันก็ดี แต่ที่พระท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า ยังไม่ให้พูด ถ้าเผื่อยังไม่บรรลุธรรมเลย เพราะว่าออกมาแล้ว ถ้าเผื่อเราพูดแล้วเราเพี้ยน ชาวบ้านจำได้ พอเราปฏิบัติจนเราเป็นของแท้จริง เขาไม่รู้นิเขาอ่านใจเราไม่ได้ จะเอาบาปกรรมไปให้เขา เพราะเขาก็จะไปคิดดูถูกดูหมิ่นว่าเรา ยังของปลอมอยู่ แต่อย่างเรานี่ ถ้าเผื่อเขาถามเราไม่รู้เราก็บอกยังไม่รู้ ยังทำไม่ได้ จะไปถามครูบาอาจารย์ให้ หรือก็ไปอ่านตำราเอาอะไรทำนองนี้นะคะ มันก็ไม่เป็นภัย...”

        ภายหลังจากที่บรรยายให้กับทางโรงพยาบาลศิริราชครบ 4 ครั้ง ทางมหาวิทยาลัยมหิดล อยากให้เรามาบรรยายบ้าง รวมทั้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชมรมพุทธของโรงพยาบาลต่าง ๆ รวมทั้งโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าด้วย ตกลงเราเริ่มจะบรรยายมากไปแล้ว ตอนนั้นท่านพระอาจารย์บอกว่า “...ก็ไม่เป็นไร เราพูดเท่าที่เรารู้ ถ้าเราไม่รู้เราก็บอกไม่รู้ ก็ดีเขาภาษาเดียวกัน เขาจะได้ฟัง เขาจะได้ปฏิบัติ...” กลายเป็นนักพูดใหญ่เลย

แพทย์หญิงอมรา มลิลา

        ตั้งแต่เริ่มต้นชมรมพุทธของโรงพยาบาลก่อน ต่อไปก็เป็นของรัฐวิสาหกิจบ้าง ของกระทรวงต่าง ๆ บ้าง จนกระทั่งในคุกเข้าไปพูดให้ผู้ต้องหาฟังมาแล้ว ตอนนี้จึงกลายเป็น “นักบรรยายธรรม” ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นธรรมนัก ในส่วนของการทำหนังสือออกมา เกิดจากพอมีคนที่เขาฟังเราบรรยายแล้วชอบ เขาก็จะถอดเทปการบรรยายของเราออกมา และจัดทำเป็นหนังสือ และหนังสือเหล่านี้เราใช้ทุนเรา ไม่ขาย เพราะท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านบอกว่า “...ธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ยมันมีค่าเกินกว่าจะตีเป็นเงินทองได้...” เพราะคนบางคนเขาได้ไปแล้ว เขาไปปฏิบัติจนกระทั่งเขาบรรลุธรรม ถ้าเผื่อเราไปขายเขา เขาไม่มีเงิน แต่คนที่มีเงินซื้อไป แต่เอาไปกองไว้ให้ฝุ่นเกาะ เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า เราให้กันด้วยใจ เราก็เลยคล้าย ๆ กับว่า พวกที่เขามาฟังเขาก็ลงขันกัน เราก็เก็บมาพิมพ์หนังสือ และเราก็บอกว่า “...หนังสือทุกเล่มเขามีส่วนกันทั้งนั้นแหละนะ...” ทุกวันนี้เราก็ยังคงทำหน้าที่เป็นแพทย์ หรือ หมออยู่เช่นเดิม เพราะถ้าจะให้พูดเมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาร่างกาย แต่ตอนนี้เราเป็นหมอรักษาใจ

---------------------------------------------------
1สหธรรมิก แปลว่า ผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน ผู้อยู่ร่วมธรรมกัน หมายถึง ผู้มีพระศาสดาและศาสนธรรมเดียวกัน อยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องเรียกทั่วไปว่า เพื่อนสหธรรมิก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้น 3 หอสมุดและคลังความรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
โทร 0-2800-2680-9 ต่อ 4346