นายแพทย์เสถียร ตรีทิพย์วณิชย์ (หลักในดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้)

เรืออากาศตรี นายแพทย์เสถียร ตรีทิพย์วาณิชย์

สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ณ กองศัลยกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช

หลักในดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

       ผมมีสิ่งที่อยากจะบอกเล่าสัก 1 – 2 เรื่อง ในประเด็นนี้ครับ อันแรกคือ คำสอนของสมเด็จพระราชบิดา ที่ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” ผมคิดว่าเป็นคำสอนที่ สามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์ แล้วสุดท้ายเราจะได้รับอะไรกลับมาเยอะ โดยที่เราไม่ได้หวังผล ผมว่าเป็นคำสอนที่ใช้ได้ทั้งตอนที่เราเป็นแพทย์ หรือไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ๆ คำสอนนี้ก็สามารถนำไปใช้ได้เสมอ ถ้าหากเราตั้งตนว่า เราจะต้องได้อย่างโน้น จะต้องได้อย่างนี้ทุกครั้งที่เราไปทำงานเจอผู้คน ผมว่าเราจะไม่ได้อะไรเลย ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้สึกว่า เราอยากจะให้อะไรกับผู้อื่นก่อน โดยที่เราไม่ได้หวังผล ผมว่าสุดท้ายมันทำให้เราได้รับอะไรดี ๆ กลับมามากมาย ยกตัวอย่าง ตอนที่ผมเก็บตัววิ่ง ถ้าผมหรือนักกีฬาคนอื่นในแคมป์เก็บตัวซีเกมส์คิดเพียงแค่ว่า เราจะเก่งที่สุดในประเทศ เราจะเป็นนักวิ่งทีมชาติ ผมคิดว่านักกีฬาในทีมเราทั้งหมดจะไม่มีใครได้พัฒนาฝีเท้าอย่างเต็มศักยภาพเลย และด้วยเหตุที่ทุกคนภายในทีม เวลามีอะไรที่พอจะช่วยกันได้ก็จะช่วยเหลือกัน ทุกคนที่เข้ามาเก็บตัวไม่ได้มองที่ตัวเองเป็นหลัก ทุกคนฝึกซ้อมเพื่อผลักดันกันไป ในแคมป์ทีมชาติถ้ามีแต่นักกีฬาทีมชาติ ผมบอกได้เลยว่า เราสู้ใครไม่ได้ คนที่ขึ้นไปเป็นตัวแทนทีมชาติตอนซีเกมส์ เป็นแค่ 1-2 คน แต่เบื้องหลังคือทีมที่ใหญ่มากครับ คนที่ไม่ได้เป็นนักวิ่งในนามทีมชาติก็มาร่วมฝึกซ้อม มาร่วมผลักดัน อย่างตอนที่ผมยังไม่เก่ง โค้ชก็มอบหมายให้ผมเป็นคู่ซ้อมให้กับนักกีฬาตัวหลักในโครงการ ซึ่งนักกีฬาตัวหลักเก่งกว่าผมเยอะ สมมุติว่า โปรแกรมซ้อมวันนี้ โค้ชสั่งให้นักวิ่งเก่ง ๆ ในโครงการจะต้องวิ่ง 1 กิโลเมตรที่ความเร็วสูง แต่เราไม่มีศักยภาพวิ่งด้วยความเร็วสูงจนครบ 1 กิโลเมตร เราก็รับหน้าที่เป็นคู่ซ้อม เราก็วิ่งแค่ 200 เมตร โดยในระยะ 200 เมตรนั้น เราเร่งได้เต็มที่จึงจะทำความเร็วได้เท่านักวิ่งเก่ง ๆ ที่วิ่ง 1 กิโลเมตร ดังนั้น ถ้าเรายอมรับในบทบาทของเรา เรายึดถือว่าเราจะผลักดันมือหนึ่งทีมชาติ มันก็จะได้ประโยชน์ทั้งคู่ คือ นักกีฬาทีมชาติได้รับการผลักดัน รีดเค้นศักยภาพของตัวเอง โดยมีเราเป็นคู่ซ้อม ในขณะที่เราก็ได้พัฒนาตัวเองด้วยการวิ่งกับคนเก่ง ๆ ไปด้วย แม้กระทั่ง ตอนที่ผมสามารถพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาจนได้เป็นหนึ่งในนักกีฬาทีมชาติ ในช่วงท้าย ๆ ของการเก็บตัว ก่อนการแข่งขันซีเกมส์จะเริ่มต้นขึ้น ทุกคนในทีมก็พร้อมที่จะรีดเค้นศักยภาพให้กับผมเช่นกัน มีนักวิ่งที่ขอตัวมาจากค่ายทหารขึ้นมาเชียงใหม่ เพื่อมาช่วยทีมฝึกซ้อม ตามโปรแกรมผมอาจต้องวิ่งระยะ 1 กิโลเมตร นักวิ่งท่านนั้นจะเป็นคู่ฝึกซ้อมให้ผม และก็วิ่งในระยะ 400 – 600 เมตร เพื่อช่วยผลักดันผม ภาษาวิ่งก็คือ “มาลาก” ผม ทำให้ผมได้เค้นศักยภาพตัวเองได้ดียิ่งขึ้น พัฒนาตัวเองได้มากขึ้น ดังนั้น คำสอนของสมเด็จพระราชบิดาอันนี้ อยากจะแนะนำให้ทุกคนนำไปใช้ หรือ โดยเฉพาะแพทย์ที่จบใหม่ยิ่งต้องยึดถือคำสอนนี้ให้อยู่ในจิตวิญญาณ

       อันที่ 2 คือ เรื่องของ “ความอดทน” สมัยผมเข้าเรียนแพทย์เฉพาะทางปีแรก ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นที่ทราบกันดีว่าการเรียนแพทย์เฉพาะทางนั้นเรียนหนักมาก ในงานพิธีรับน้องใหม่ รุ่นพี่ก็จะมาสอนรุ่นน้อง ผมจำประโยคหนึ่งได้ขึ้นใจ รุ่นพี่สอนน้องใหม่ว่า “...ถ้านายอยากจะประสบความสำเร็จในการเรียนแพทย์เฉพาะทาง หรืออยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต จำคำสอนของพี่ไว้นะครับ...ขอให้มีความอดทน...” มันเป็นคำที่เราได้ยินจนคุ้นหู แต่บ่อยครั้งที่ไม่ได้นำไปตีความอย่างจริงจัง ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จเราต้องมีทั้ง 2 อย่างนี้ครับ ความอด “อด” คืออะไร อด ก็คือ เราไม่ได้ในสิ่งที่เราอยากได้ ตอนเรียนแพทย์ประจำบ้านเหนื่อยมากครับ วัน ๆ เลิก 4 ทุ่ม บางวันไม่ได้นอนทั้งคืน เราอยากจะกลับหอไปนอน เราอยากจะกลับไปเจอคุณพ่อคุณแม่ แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จ บางครั้งเราก็ต้องอด อดได้ในสิ่งที่เราอยากได้ และต่อมาเราก็ต้องมีความทน “ทน” คืออะไร ทนก็คือ ต้องอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากได้ ต้องทนอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้ อย่างเช่น เราไม่อยากทำแล้ว เราเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากจะอ่านหนังสือแล้ว ไม่อยากจะทำผ่าตัดแล้ว แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จ บางครั้งเราก็ต้องทน ทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากได้พวกนี้ ผมก็ยึดคำสอนนี้ของรุ่นพี่มาครับ ทั้งตอนที่เรียนแพทย์เฉพาะทาง หรือแม้กระทั่งตอนที่เรามีโอกาสเป็นนักวิ่ง ช่วงเที่ยงและช่วงค่ำ ที่ว่างจากโปรแกรมซ้อมของโค้ช บ่อยครั้งที่ผมต้องพาตัวเองมาเข้าฟิตเนส ซ้อมเพิ่มเติมด้วยตัวเอง เพราะเมื่อเทียบกับนักกีฬาคนอื่น ๆ แล้วพบว่า กล้ามเนื้อของผมไม่ค่อยมีแรง ซึ่งที่จริงแล้วผมเองก็อยากจะนอนนิ่งพักผ่อนสบาย ๆ ที่ห้องบ้าง แต่ผมก็อดพักผ่อน และในบางครั้ง ผมต้องเจอโปรแกรมที่ซ้อมแล้วเรารู้สึกว่าร่างกายผมจะไม่ไหวแล้ว เหนื่อยล้ามากแล้ว ไม่อยากจะอยู่ในโปรแกรมนี้แล้ว ผมก็ต้องทนกับมันให้ได้ ดังนั้น ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จ ผมว่าเราต้องมีความอดทนจึงจะนำพาให้เราไปสู่ความสำเร็จ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล ชั้น 3 หอสมุดและคลังความรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
โทร 0-2800-2680-9 ต่อ 4346