แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์
สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 ณ ห้องสมุดดนตรีสมเด็จพระเทพรัตน์ ชั้น 3 หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล
ฝากข้อคิดให้แก่นักศึกษาและผู้ที่สนใจทางด้านการแพทย์
โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า แพทย์จะต้องเป็นคนเรียนเก่ง มีอาจารย์ท่านหนึ่ง คือ รศ.นพ.เตชะทัต เตชะเสน บอกว่า “...ถ้าเธอสอบเข้ามาได้แล้ว เธอไม่ต้องกลัวเลยว่าเธอจะเรียนไม่จบ เพราะไอ้ตรงสอบเข้ามันยากกว่าตอนเรียนอีก...” แต่จริง ๆ เมื่อเข้ามาเรียนดิฉัน คิดว่า “...สอบเข้าก็ยากนะคะ เรียนก็ยาก ทำงานก็ยาก...” เพราะว่ามันเป็นแวดวงที่มีคาดหวังสูง แทบจะบอกว่าให้ทำอะไรก็จะเป็น 100% กันอยู่เรื่อยไป มันจะได้ยังไง นี่คือ มนุษย์ ความผิดพลาดมันย่อมมี ทำให้ดิฉันรู้สึกว่า คนที่เรียนเก่งไม่จำเป็นต้องเรียนแพทย์ ประเทศเราต้องการคนเก่งในทุก ๆ สาขาวิชา เราควรจะกระจายกันไป ไปทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์เลย ถ้าย้อนเวลาให้ดิฉันเลือกใหม่ ดิฉันจะไม่เลือกเรียนแพทย์ เพราะว่ายังมีสาขาอื่นที่ขาดแคลนคนที่จะเข้าไปเป็นผู้นำในสาขานั้น ๆ และก็น่าเสียดายที่ยังขาด จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังติดยึดอยู่กับคำ “คนเก่งต้องมาเรียนแพทย์” ดิฉันไม่เห็นด้วย ดิฉันคิดว่า “...คนสุขภาพแข็งแรงดีกว่าที่ต้องมาเรียนแพทย์...” เพราะมันเหนื่อยและหนักมาก โอกาสติดเชื้อก็สูง ต้องแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะเราอยู่บนความคาดหวัง ทำให้เราเครียด โรคหลายโรคที่มันรักษาอย่างไรก็เสียชีวิตมีเยอะแยะ รักษาอย่างไรก็พิการมีเยอะแยะ และมีสถานะหลายอันที่ทำอย่างไรก็ไม่รอด แล้วยังฟ้องร้องกันอีก อันนี้เป็นความคาดหวังที่ผิด เป็นความคาดหวังที่เป็นไปไม่ได้ มนุษย์ ก็คือ มนุษย์ ความจริง ก็คือ ความจริง ไม่รอดก็คือไม่รอด พิการก็คือพิการ บางครั้งดิฉันเรียกว่าเห็นใจทั้งคนสูญเสีย คนสูญเสียก็จะพยายามหาคนรับผิดชอบ แต่จริง ๆ อยากจะบอกกับประชาชนทั่วไปว่า “...สุขภาพของเรา เรานั่นแหละ ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง...” พื้นฐานของตัวเราต้องดีก่อน คุณถึงจะมาแล้วรับการบริการ แล้วได้ผลดี เพราะว่าถ้าพื้นฐานคุณไม่ดี คุณเป็นคนไม่ขยันที่จะออกกำลังกาย ทานก็ไม่เลือก นอนก็ไม่ถูกสุขลักษณะ อาชีพก็ไม่ดี บุหรี่ก็สูบ อะไรก็จะทำที่เขาห้าม แล้วพื้นฐานคุณไม่ดีอย่างนี้ คุณจะมาเอา 100% จากการรักษาได้อย่างไร ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเองก่อน และค่อยมาแก้กันที่จุดนิด ๆ หน่อย ๆ ที่แพทย์จะเติมเข้าไปแล้วมันจะสมบูรณ์ แต่ 99% อยู่ที่ตัวคุณ จะเป็นผู้มีสุขภาพดีหรือไม่ จะปราศจากโรคหรือไม่อยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้นความเข้าใจอันนี้ต้องเข้าใจให้ตรงกัน
ดังนั้นเมื่อเรามีความสามารถ ไม่จำเป็นต้องเป็นเก่งคณิต วิทย์ ฟิสิกส์ อะไรอย่างนั้น คนที่ดิฉันเคยเจอ เรียนทางวิทยาศาสตร์ตกตลอด แต่ได้เกียรตินิยมทางด้านศิลปะ ทางดนตรี ทางการวาดภาพ เพราะฉะนั้นเก่งขยายวงออกไป อย่ามากองกันอยู่ที่เดียวเลย ไปทุก ๆ สาขา แล้วก็อยากจะบอกท่านที่เรียกว่าถนัดทั้ง 2 ทาง ทางวิทย์ก็สนุก ทางศิลป์ก็สนุก ดิฉันก็คิดว่าได้ มีหลายคนที่สามารถจะทำแบบนี้ได้ การฝึกฝนตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเองได้ โดยเฉพาะบางความสามารถ บางสาขาวิชา มันเหมือนมีอะไรอยู่มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มันกลายเป็นเรื่องง่าย หยิบซออู้ขึ้นมาก็สีได้เลย ซอด้วงขึ้นมาก็สีได้เลย ขิมก็ตีได้เลย ขลุ่ยก็เป่าได้เลย มันแปลก ๆ อยู่นะ เหมือนของเก่ายังมีค้างอยู่ เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ด้วยตัวเองขอให้ทำ ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจว่าเป็นเด็กต่างจังหวัด ครูดนตรีก็ไม่มี เครื่องดนตรีก็มาไม่ถึง เวลามีกิจกรรมอะไรก็ไม่เคยไปร่วมได้เลย เพราะอยู่ต่างจังหวัด แต่สามารถขวนขวาย เรียนรู้ เหมือนกับที่ตัวเราอยากจะร้องเพลงแล้วก็ฟังเยอะ ๆ ถ้าอยากเป็นนักเขียนก็ต้องอ่านเยอะ ๆ เป็นนักร้องก็ต้องฟังเยอะ ๆ นักดนตรีก็ต้องฟังเยอะ ๆ และฝึกด้วยตัวเอง นักร้องหลายคนที่มีชื่อเสียงในเวลานี้อ่านโน้ตไม่ได้ แม้แต่นักดนตรีที่อ่านโน้ตไม่ได้ก็ยังมี เขาบอกเลยว่า “...ผมอ่านโน้ตไม่ได้แต่พี่อย่าบอกใครนะ ผมจำได้หมดเลย...” จำได้หมดทุกเพลง แม้แต่อ่านหนังสือไม่ออกแต่ก็ยังเป็นนักร้องดังได้ อย่าง คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ เพราะฉะนั้นมันไม่มีขอบเขต ถ้าหากว่าตัวเราขวนขวายที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง และก็การฝึกฝนเหล่านี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องฝึกฝน เพื่อที่จะก้าวไปสู่มืออาชีพ มันไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าใครจะได้เป็นมืออาชีพหรือไม่ ขนาดที่ตัวเราเก่งยิ่งกว่าคนอื่น ตัวเรายังไม่ได้ก็มี มันทั้งวาสนาและทั้งความฟลุ๊คหรืออะไรปน ๆ กันอยู่ในนั้น ความสามารถต้องมีอยู่แล้ว แต่จงภูมิใจที่ทำได้ และจงภูมิใจในความสุขกับที่ได้ทำด้วย “แต่เมื่อทำได้และได้ทำมารวมกัน” รวมทั้งโอกาสที่มาถึง
เหมือนกับดิฉันที่ได้โอกาสที่ได้รู้จักอาจารย์หมอพูนพิศ อาจารย์หมอวราห์ และนักแต่งเพลงที่เป็นระดับปรมาจารย์ทั้งหลาย ในเวลาต่อมาทั่วฟ้าเมืองไทย ก็เพราะว่าดิฉันได้เตรียมตัวมาก่อนโดยที่ไม่รู้ตัวว่า เพลงทุกเพลงดิฉันร้องได้หมดจำได้หมด ทั้ง ๆ ที่ยังอ่านโน้ตไม่ได้เลย แต่ดนตรีก็เล่นได้ เพราะฉะนั้นไม่เป็นไร “ได้เล่นกับเล่นได้” ก็ดีแล้ว แต่มันจะก้าวไปเป็นอาชีพหรือไม่อาชีพก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะว่าเราได้รสแห่งความร่าเริงและมีความสุขกับศิลปะเรียบร้อยแล้ว และถ้าหากสามารถจะทำงานวิทยาศาสตร์ด้วยก็ได้ มีหลายคนไม่ได้เรียนทางวิทยาศาสตร์ แต่สามารถประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมืออะไรที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังต้องทึ่งว่า เธอทำขึ้นมาได้อย่างไร และหลายคนที่ไม่จบแม้แต่ปริญญาตรี แต่สามารถที่จะประดิษฐ์คิดค้นเรื่องของวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกเราก็รู้ ๆ อยู่ว่า เจ้าของบริษัทใหญ่โตทั้งหลายที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ไอทีไม่ได้เรียนอะไรเลย เขาศึกษาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของปริญญา นับวันแต่จะเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่ตัวเรารู้จริงทำจริงและทำได้จริงมันมีประโยชน์จริง ๆ รึเปล่า เพราะฉะนั้นอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ อย่าหยุดที่จะเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่รักและชอบในสิ่งเดียวกันและช่วยกันทำให้มันเกิดเป็นผลิตผลขึ้นมาแล้วก็มีความสุขกับมัน
อย่างไรก็ตามชีวิตของคนเรามันไม่ได้อยู่ที่คำว่า “สำเร็จ” เพราะว่าในที่สุดแล้ว เมื่อมาศึกษาทางพระพุทธศาสนา จึงเริ่มเข้าใจความรู้ทางด้านพระพุทธศาสนาจริง ๆ แล้ว “ความสุขที่แท้จริง คือ ความสงบ” ความมีชื่อเสียง การมีฐานะ ได้ตำแหน่ง ได้รางวัล มันไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะทั้งหมดมันคือ เรื่องสมมุติ เหมือนที่ตัวเราสมมุติว่าตัวเราชื่อนี้ สมมุติว่าเป็นอาชีพนี้ สมมุติว่าทำนั้น ทำนี้ อีกไม่นานทุกคนก็จะลืมเรื่องนี้ไปหมด อีกร้อย สองร้อยปี อาจจะมีใครจำอะไรไม่ได้เลย หรือ จำได้นิดหน่อย แต่ที่แน่ ๆ คือ ต้องทำตัวเราให้พบกับความสุขหรือให้พบกับทางพ้นทุกข์ทางพุทธศาสนา ซึ่งดิฉันเชื่อว่าเป็นหนทางที่ตัวเราน่าจะไปถึงได้ และนำความเพียรที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้ เข้าไปศึกษาให้มาก และถ้าเด็กนักเรียนเริ่มต้นได้เร็วจะดี เพราะการดำเนินชีวิตตลอดมาดิฉันเชื่อว่าที่รอดพ้นมาได้ รอดพ้นความหายนะ รอดพ้นความสูญเสียมาได้ทุกครั้ง ๆ เพราะดิฉันมีพุทธศาสนาอยู่ในใจ เพราะ “ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม” ตัวเราควรจะมีความเห็นที่ถูกต้องในการที่เกิดมาเป็นคน และมองโลกอย่างที่มันควรจะเป็น โดยที่ไม่ได้ไปคาดหวังหรือตั้งไว้ว่าความสำเร็จ คือ การมีเงินเยอะ ๆ ความสำเร็จ คือ การมีชื่อเสียง ความสำเร็จ คือ การได้รางวัลมากมาย ความสำเร็จ คือ มีคนมาเป็น follow (ติดตาม) เรา ตามมากดไลก์ให้เรา ทั้งหมดนั้น คือ เรื่องเพ้อเจ้อ เรื่องไม่จริง เพราะว่าถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาจริง ๆ แล้ว “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตัวเราเท่านั้นที่จะพาให้ตัวเราพ้นทุกข์ได้ และจะต้องยึดถืออย่างน้อย คือ ศีล 5 และถ้าสามารถทำได้ก็ควรจะไปปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ และถ้าสมองยังดีอยู่ ความจำยังดีอยู่ สุขภาพยังดีอยู่จะไปเรียนพระอภิธรรมด้วยก็เป็นเรื่องที่ดี แต่นับว่ายากยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งหนึ่งเราได้เกิดมาเป็นคน แล้วเราได้พบกับพระพุทธศาสนา และเราพยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม เราได้เห็นผลคำสอนของพระองค์ท่านว่าชีวิต ณ วินาทีนี้ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา ณ วินาทีนี้ และสิ่งที่เราทำ ณ วินาทีนี้ คือ สิ่งที่ตัวเราจะต้องทำให้ดีที่สุด และมีสติ เอาความควร ไม่ควรในสิ่งที่พระพุทธองค์สอนนั้นมาเป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิตในทุก ๆ เรื่อง และจะพบว่า ความสุขแท้จริงนั้น คือ พยายามที่จะให้ทุกข์น้อยที่สุด เพราะว่าความสุขแท้จริงนั้นแทบจะไม่มี และในที่สุด เมื่อเราอายุมากขึ้นก็จะพบว่า สุขภาพเป็นสิ่งที่เป็นของเราที่แท้จริง เงินทอง ชื่อเสียง ความสำเร็จเป็นสิ่งนอกกาย ถ้ามีสิ่งเหล่านั้นแต่ไม่มีสุขภาพทั้งหมดจบ ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ตอนนี้ก็อยากจะให้ทุก ๆ คน สนใจที่จะเข้าไปศึกษาพุทธศาสนาให้มากขึ้น ปฏิบัติให้มากขึ้น สำหรับเรื่องทางอภิธรรมอาจจะยากเกินไป เพราะว่าเราอาจจะเริ่มต้นช้าไป แต่เรายังต้องเกิดอีกหลายชาติ คงจะได้พบกันอีก และพบทางสว่างในที่สุด ถ้ายังไม่ท้อถอยไปซะก่อน เพราะว่าการปฏิบัติ ไม่ได้มุ่งหวังที่จะไปพบทางนิพานหรืออะไร แต่ทำให้ดีที่สุดในวันนี้เท่านั้น ส่วนผลจะออกมาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เพราะว่าตัวเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าในอดีต และในอนาคตจะเจอกับอะไร หรือได้ทำอะไรไปแล้วบ้างที่ตัวเราไม่ทราบ เพราะฉะนั้นทำดีที่สุดในวันนี้ เพื่อให้พ้นทุกข์ และทำความเข้าใจต่อโลกนี้ให้ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นทุกข์กับความคาดหวังผิด ๆ ที่เคยผ่านมา เราอาจจะคาดหวังในเรื่องหลาย ๆ เรื่องจนเป็นลักษณะอุดมคติเกินไปหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีภูมิหลังไม่เหมือนกัน ยอมจะดำเนินชีวิตไปพบกับสิ่งที่สำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่เหมือนกัน แต่ถ้าตัวเราไม่คาดหวังอะไร เพียรทำดีอย่างเดียว ก็น่าจะพบกับแสงสว่างในอนาคต
ดิฉันได้พยายามที่จะช่วยเหลือเท่าที่ตัวเองพอจะทำได้ เช่น การเข้าไปช่วยในมูลนิธิรามาธิบดี ศิริราชมูลนิธิ กองทุนหมอเจ้าฟ้า และตอนนี้พยายามที่จะกลับไปช่วยโรงเรียนในจังหวัดตาก ซึ่งเด็กมีฐานะยากจนมีจำนวนมาก แต่ดิฉันก็ทำเท่าที่ทำได้ ดิฉันและเพื่อน ๆ ร่วมกันลงขัน เพื่อที่จะให้ทุนการศึกษากับเด็ก ไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดว่ายังคาดแคลนอะไรที่พวกเราพอจะช่วยได้บ้าง และออกไปกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เท่าที่จะอนุญาตให้ดิฉันเข้าไปช่วยเหลือ เพราะว่ามีทั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ขาเทียม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ผ่าตัด ปากแหว่งเพดาโหว่ ทำต้อกระจก และยังมีอีกหลาย ๆ หน่วยงานที่เป็นจิตอาสา ซึ่งดิฉันพยายามที่จะทำเท่าที่สังขารขณะนี้จะทำต่อไปได้จึงอยากจะให้เพื่อนแพทย์ น้อง ๆ นักศึกษา ที่ยังมีความใฝ่ฝันในอนาคต คือ ทำดีที่สุด และทำตัวเองให้พร้อมที่จะทำงานที่ตัวเองถนัด และก็อย่าไปให้ค่าอาชีพใดอาชีพหนึ่งสูงส่งกว่าอีกอาชีพหนึ่ง ทุก ๆ อาชีพล้วนแต่มีประโยชน์ และแม้แต่คนที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย คนเหล่านั้นก็ยังมีประโยชน์ ยังทำอะไรให้กับโลกนี้ได้อีกเยอะแยะมากมาย เพราะฉะนั้นทุกคนมีค่าและทุกคนยังสามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้อีกมาก