พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
นิทรรศการประจำปี
{{end_brizy_dc_post_loop}}{{ brizy_dc_post_loop_pagination count=’16’ taxonomy=’category’ value=’18’ order=’DESC’ orderby=’ID’ }}
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
นิทรรศการฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์
{{end_brizy_dc_post_loop}}{{ brizy_dc_post_loop_pagination count=’16’ taxonomy=’category’ value=’17’ order=’DESC’ orderby=’ID’ }}
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
โซนที่ 3: “วิทยาเขตศาลายา” ศูนย์รวมประชาคมมหิดล
เป็นส่วนเนื้อหาหลักของนิทรรศการ
แสดงประวัติพัฒนาการทางกายภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา ซึ่งเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของสถาบันและเป็นศูนย์รวมของชาวมหิดล ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนท้องทุ่งนาให้เป็นอาคารสถานที่เพื่อการศึกษาในยุคแรกเริ่ม จนถึงยุคปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยกำลังมุ่งสู่การเป็น “เมืองมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ”
ผังแม่บทฉบับบุกเบิก พ.ศ. 2517
ศาลายา : ที่ตั้งศูนย์รวมของชาวมหิดล
เนื่องจากนโยบายขยายการศึกษาระดับอุดมศึกษาประกอบกับที่ตั้งในตัวเมืองถูกจำกัดด้วยพื้นที่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจึงได้ดำเนินการขยายพื้นที่มายังตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 1514 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้โอนที่ดินขนาด 1,240 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ให้กับมหาวิทยาลัย ที่ตั้งแห่งใหม่นี้อยู่ใกล้กรุงเทพฯ การคมนาคมสะดวกเหมาะกับการติดต่อส่วนราชการของมหาวิทยาลัย มีพื้นที่รองรับนักศึกษาได้มากขึ้น โดยเฉพาะนักศึกษาปีที่ 1 และ 2 พร้อมทั้งรองรับหลักสูตรที่จะเปิดเพิ่มเติมนอกเหนือจากด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์และเป็นศูนย์รวมของประชาคมมหิดล
ผังแม่บทฉบับบุกเบิก พ.ศ. 2517
มหาวิทยาลัยมหิดลมอบหมายให้กรมโยธาธิการเป็นผู้ออกแบบ แนวความคิดของผังแม่บทฉบับนี้กำหนดให้กิจกรรมต่างๆ รวมตัวอยู่ในบริเวณเดียวกัน เช่น กลุ่มอาคารเรียนถูกจัดวางให้อยู่ใกล้ถนนภายนอกและสถานีรถไฟ พื้นที่อยู่อาศัยอยู่ใกล้กับพื้นที่ส่วนการศึกษาเพื่อเดินทางสะดวก เข้าถึงกิจกรรมต่างๆ ด้วยถนนสายหลักรูปตัวยู (U) ถนนสายรอง และทางเดินเท้าระยะสั้นๆ ในระยะแรกมีการปรับปรุงที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นเช่น สะพาน อาคารชลศาสตร์ ทำคันดิน เป็นต้น จากนั้นได้ก่อสร้างอาคารที่สำคัญ เช่น อาคารเรียนวิทยาศาสตร์ อาคารเรียนสังคมศาสตร์ อาคารหอสมุด และอาคารอำนวยการ ตลอด 20 ปีพื้นที่ศาลายาได้พัฒนาทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นที่ตั้งของหน่วยงานรวม 17 หน่วยงาน นอกจากนี้ยังคงดูแลด้านสาธารณูปโภคและบริการต่างๆ เช่น ธนาคาร ไปรษณีย์ เป็นต้น
อนึ่ง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของมหาวิทยาลัยนั้น ในยุคมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มีที่ทำการอยู่ที่ตึกอำนวยการ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กระทั่งใน พ.ศ. 2531 ได้ย้ายไปอยู่ที่อาคารเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า จนถึง พ.ศ. 2543 จึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่วิทยาเขตศาลายาจนถึงปัจจุบัน
ผังแม่บทฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2540
เหตุใดต้องปรับปรุงผังแม่บท
เนื่องจากผังแม่บทฉบับ พ.ศ. 2517 มีความล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เจริญขึ้นที่สำคัญคือเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายพัฒนาให้เป็นศูนย์การบริหาร การจัดการศึกษา การวิจัย และการให้บริการวิชาการของมหาวิทยาลัย
แนวความคิดภาพรวมของการปรับปรุงผังแม่บท แบ่งออกเป็น 5 ด้านดังนี้
1. การวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
เน้นการกระจายและสร้างความเป็นสัดส่วนของกิจกรรม โดยกิจกรรมประเภทเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันให้อยู่บริเวณเดียวกัน จัดพื้นที่เป็นบล็อกบริเวณกลุ่มกิจกรรมให้ชัดเจนขึ้น และครอบคลุมกิจกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันและกลุ่มกิจกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ในอนาคต
2. การวางผังโครงข่ายระบบถนน
ผังแม่บทฉบับเดิมจะเน้นถนนสายหลักรูปตัวยูซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกบริเวณ ผังแม่บทฉบับนี้จึงแบ่งเป็นถนนสายหลักและสายรอง โดยวางแนวถนนเป็นรูปบล็อก ส่วนถนนสายย่อยจะเป็นตัวเชื่อมถนนสายหลักและถนนสายรองเข้าถึงภายในพื้นที่
3. เส้นทางสัญจร
เป็นเส้นทางสำหรับการเข้าถึงอาคารและกิจกรรมในแต่ละบริเวณ เน้นทางเดินเท้าและรถจักรยานสำหรับทางเดินเท้ามีการตกแต่งภูมิทัศน์ให้สวยงาม ในบางพื้นที่จะมีหลังคาคลุม ส่วนเส้นทางรถจักรยานได้กำหนดไว้ชัดเจนบนถนนสายหลักและกำหนดจุดจอดรถจักรยาน เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาและบุคลากรใช้รถจักรยานแทนการใช้รถยนต์
4. การวางผังภูมิทัศน์
เป็นการออกแบบพื้นที่เพื่อให้ได้พื้นที่โล่งว่าง ได้สภาพแวดล้อมที่สวยงาม ร่มรื่น และสร้างบรรยากาศทางการศึกษา ผังแม่บทฉบับนี้ได้กำหนดการพัฒนาภูมิทัศน์ที่ชัดเจนขึ้น เช่น ที่หมายตาหลักและรองการเลือกพรรณไม้ และการจัดสิ่งประกอบถนนและสถานที่ช่วยให้เกิดความสวยงาม
5. การวางผังสาธารณูปโภค
มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ เช่น ระบบไฟฟ้า มีการวางระบบโครงข่ายกระแสไฟฟ้าแบบเดินท่อฝังดิน ระบบน้ำประปาได้เจาะบ่อบาดาลเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำดิบและเพิ่มถังน้ำใสเพื่อเก็บน้ำสำรองเพิ่มขึ้น ส่วนการระบายน้ำได้ปรับปรุงคันดินมั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบบำบัดน้ำเสียได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบำบัดและมีการวางโครงข่ายระบบน้ำเสียรวมอีกด้วย
แนวความคิดภาพรวมของการปรับปรุงผังแม่บท
แบ่งออกเป็น 5 ด้านดังนี้
1. การวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน
เน้นการกระจายและสร้างความเป็นสัดส่วนของกิจกรรม โดยกิจกรรมประเภทเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันให้อยู่บริเวณเดียวกัน จัดพื้นที่เป็นบล็อกบริเวณกลุ่มกิจกรรมให้ชัดเจนขึ้น และครอบคลุมกิจกรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันและกลุ่มกิจกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ในอนาคต
2. การวางผังโครงข่ายระบบถนน
ผังแม่บทฉบับเดิมจะเน้นถนนสายหลักรูปตัวยูซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ทุกบริเวณ ผังแม่บทฉบับนี้จึงแบ่งเป็นถนนสายหลักและสายรอง โดยวางแนวถนนเป็นรูปบล็อก ส่วนถนนสายย่อยจะเป็นตัวเชื่อมถนนสายหลักและถนนสายรองเข้าถึงภายในพื้นที่
3. เส้นทางสัญจร
เป็นเส้นทางสำหรับการเข้าถึงอาคารและกิจกรรมในแต่ละบริเวณ เน้นทางเดินเท้าและรถจักรยาน สำหรับทางเดินเท้ามีการตกแต่งภูมิทัศน์ให้สวยงาม ในบางพื้นที่จะมีหลังคาคลุม ส่วนเส้นทางรถจักรยานได้กำหนดไว้ชัดเจนบนถนนสายหลักและกำหนดจุดจอดรถจักรยาน เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาและ บุคลากรใช้รถจักรยานแทนการใช้รถยนต์
4. การวางผังภูมิทัศน์
เป็นการออกแบบพื้นที่เพื่อให้ได้พื้นที่โล่งว่าง ได้สภาพแวดล้อมที่สวยงาม ร่มรื่น และสร้างบรรยากาศทางการศึกษา ผังแม่บทฉบับนี้ได้กำหนดการพัฒนาภูมิทัศน์ที่ชัดเจนขึ้น เช่น ที่หมายตาหลักและรองการเลือกพรรณไม้ และการจัดสิ่งประกอบถนนและสถานที่ช่วยให้เกิดความสวยงาม
5. การวางผังสาธารณูปโภค
มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ เช่น ระบบไฟฟ้า มีการวางระบบโครงข่ายกระแสไฟฟ้าแบบเดินท่อฝังดิน ระบบน้ำประปาได้เจาะบ่อบาดาลเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำดิบและเพิ่มถังน้ำใสเพื่อเก็บน้ำสำรองเพิ่มขึ้น ส่วนการระบายน้ำได้ปรับปรุงคันดินมั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบบำบัดน้ำเสียได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบำบัดและมีการวางโครงข่ายระบบน้ำเสียรวมอีกด้วย
ผังแม่บทฉบับล่าสุด พ.ศ. 2551
แนวคิดของการปรับผังแม่บท
ผังแม่บทฉบับล่าสุดนี้มีระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2551 – 2566เน้นพัฒนาทางกายภาพให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “เมืองมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ” มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านได้แก่ องค์ประกอบทางกายภาพ ทางสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยการสร้างพื้นที่กิจกรรมและสิ่งแวดล้อมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันอย่างฉันมิตร
แนวทางการพัฒนาผังแม่บทฉบับ พ.ศ. 2551
แบ่งออกเป็น 5 ด้านดังนี้
1. การพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดิน
เน้นการจัดหมวดหมู่กิจกรรมเป็นกลุ่มก้อนอย่างชัดเจนและเกิดความเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน โดยใช้ระบบบล็อกย่อย (Block System) เพื่อความสะดวกในการกำหนดแนวทางพัฒนาในอนาคต นอกจากนี้ยังกำหนดสัดส่วนให้มีพื้นที่ว่างและพื้นที่สีเขียวไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่ทั้งหมดเพื่อคงพื้นที่สีเขียวไว้ให้มากที่สุด
2. การพัฒนาระบบภูมิทัศน์
เน้นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นการเรียนรู้ร่วมกับธรรมชาติ การอนุรักษ์พื้นที่สีเขียวและใช้พื้นที่ว่างให้เกิดประโยชน์ เช่น การสร้างแนวแกนหลักสีเขียว การกำหนดมุมมองที่หมายตาให้เป็นที่จดจำการให้แสงสว่าง รวมทั้งกำหนดพื้นที่กิจกรรมที่มีความร่มรื่นเพื่อเป็นศูนย์รวมของประชาคมมหิดล
3. การพัฒนาระบบการสัญจร
เน้นพัฒนาระบบทางเดินเท้าและทางรถจักรยานเป็นหลัก โดยการลดช่องทางจราจรเพื่อคืนพื้นที่ให้ทางเดินเท้าและรถจักรยานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบถนน จุดจอดรถยนต์และรถจักรยาน รวมถึงระบบขนส่งมวลชนภายใน (Shuttle bus) คำนึงถึงความสะดวก ปลอดภัยและการสร้างการเรียนรู้ร่วมกับธรรมชาติ
4. การพัฒนาระบบสาธาณูปโภคและสาธารณูปการ
ระบบสาธารณูปโภค มีการปรับปรุงและวางผังโครงข่ายให้เพียงพอกับการขยายตัวของกิจกรรมโดยคำนึงถึงการลดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมลดใช้ทรัพยากรภายในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีต่อชุมชน ส่วนสาธารณูปการได้กำหนดพื้นที่การให้บริการอย่างเป็นระบบ
5. การพัฒนาอาคารและสิ่งก่อสร้าง
ผังแม่บทฉบับนี้เป็นผังแม่บทฉบับแรกที่ได้กำหนดการขยายตัวของอาคารในอนาคต ทั้งนี้ได้กำหนดเกณฑ์ของรูปผังอาคารที่เอื้อต่อการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และความเชื่อมต่อของการใช้งาน, รวมถึงความสูงของอาคารเพื่อป้องกันปัญหาการบดบังทัศนียภาพ และระยะถอยร่นเพื่อให้มีความเป็นระเบียบของกลุ่มอาคาร
วิทยาเขตพญาไท อีกก้าวของการเติบโต
ยุคการก่อตัว (ก่อน พ.ศ. 2512)
เป็นยุคมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คณะใหม่ในช่วงแรก ได้แก่ คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อนและคณะวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยสถานที่ของโรงพยาบาลศิริราชและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการเรียนการสอนต่อมาประมาณ พ.ศ. 2501 รัฐบาลให้ที่ดินของกรมทหารในเขตพญาไท ได้แก่ ริมถนนพระราม 6 ริมถนนราชวิถีริมถนนโยธี และริมถนนศรีอยุธยา อีกส่วนหนึ่งของฝั่งถนนราชวิถีได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มหาวิทยาลัยจึงย้ายคณะทั้ง 3 มาตั้งที่นี่ ต่อมาเกิดคณะใหม่อีก 3 คณะ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์
ยุคการขยายตัว (พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา)
นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานนามมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้ง 6 คณะในวิทยาเขตพญาไทได้ขยายตัวทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับนักศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นและการบริการด้านการแพทย์ การก่อสร้างเป็นลักษณะรื้ออาคารเก่าที่ชำรุดแล้วสร้างอาคารใหม่ที่มีขนาดใหญ่ สูงขึ้น และใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากขึ้น เช่น อาคารชีววิทยา(ใหม่) อาคารจำลอง หะริณสุต เป็นต้น การจัดวางอาคารพิจารณาจากความจำเป็นและความสะดวกในการเข้าถึงรวมถึงภูมิทัศน์และทิศทางลม ส่วนใหญ่เป็นการสร้างอาคารเรียน อาคารปฏิบัติการ สำนักงาน และอาคารบริการผู้ป่วย
ยุคแห่งการเติบโตอย่างเด่นชัด (พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา)
การก่อสร้างอาคารตอบสนองความต้องการใช้สอยมากขึ้น เห็นได้จากสร้างอาคารสูงขึ้นและบางอาคารมีชั้นใต้ดินสำหรับเป็นที่จอดรถ คณะต่างๆ ยังคงก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัย อาคารสำคัญ เช่น อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีสร้างเมื่อ พ.ศ. 2532 และอาคารอเนกประสงค์บนพื้นที่ร่วมของ 3 คณะ เป็นเสมือนอาคารกลางของคณะฝั่งราชวิถี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2540 เป็นต้น
วิทยาเขตพญาไทวันนี้
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 205 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวาแม้ว่าที่ตั้งของแต่ละคณะไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกันทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าถึงพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ เช่น คณะฝั่งถนนราชวิถีได้ก่อสร้างอาคารอยู่บริเวณเดียวกันโดยไม่มีแนวรั้วกั้นและมีประตูทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน ส่วนคณะฝั่งถนนพระราม 6 แม้ว่าจะมีอาณาเขตกั้นแต่ก็มีประตูทางเดินเชื่อมถึงกันได้ นอกจากนี้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้เพิ่มพื้นที่สร้างศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ใกล้สี่แยกตึกชัย เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยรวมทั้งอาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษาของคณะทันตแพทยศาสตร์ และอาคารใหม่ของคณะสาธารณสุขศาสตร์คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และคณะเภสัชศาสตร์ และในปี พ.ศ. 2554 ยังมีโครงการก่อสร้างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีบนพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อีกด้วย
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
โซนที่ 4: มุ่งขยายการศึกษาสู่ภูมิภาค
แสดงการขยายพื้นที่ทางกายภาพของมหาวิทยาลัยไปยังจังหวัดต่างๆ
ในส่วนภูมิภาค ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรี วิทยาเขตนครสวรรค์ และวิทยาเขตอำนาจเจริญเพื่อให้เห็นพัฒนาการทางกายภาพของมหาวิทยาลัยที่ไม่หยุดนิ่ง
มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2538 วิทยาเขตกาญจนบุรีได้จัดตั้งบนพื้นที่ 6,000 ไร่ ที่ตำบลลุ่มสุ่มอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สาเหตุที่เลือกตั้งที่นี่เนื่องจากเป็นพื้นที่เหมาะสม อยู่ท่ามกลางสภาพธรรมชาติ มีความพร้อมด้านสาธารณูปโภค และการคมนาคมสะดวก การพัฒนาทางกายภาพจะสอดคล้องกับผังแม่บท พ.ศ. 2540 อย่างไรก็ตามได้ปรับให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมและสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ อาคารสำคัญ เช่น อาคารอำนวยการ อาคารเรียนรวม อาคารปฏิบัติการศูนย์วิจัยประชากรและสังคม และศูนย์วิจัยโรคเขตร้อนกาญจนบุรี คณะเวชศาสตร์เขตร้อน สำหรับทิศทางการขยายตัวจะรองรับกับการขยายตัวของนักศึกษาเป็นหลัก นอกจากนี้จังหวัดกาญจนบุรีได้ให้พื้นที่ริมแม่น้ำในเขตสุขาภิบาลลุ่มสุ่มเพิ่มจำนวน 24 ไร่ ซึ่งในอนาคตอาจจัดตั้งศูนย์วิจัยต่อไป
มหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตนครสวรรค์
เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2544 ได้จัดตั้งมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตนครสวรรค์ แต่เนื่องจากพื้นที่เดิมที่ตำบลบึงเสนาทเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ทำให้ต้องจัดหาที่ตั้งเหมาะสมแห่งใหม่ นั่นคือ ตำบลเขาทอง บนเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ สาเหตุที่เลือกตั้งที่นี่เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พร้อมด้วยสาธารณูปโภคและ การเดินทางสะดวก การก่อสร้างอาคารจะถูกแบ่งเป็นระยะๆ เพื่อรองรับกับความพร้อมด้านวิชาการโดยดำเนินไปตามผังแม่บท พ.ศ. 2553 เน้นการสร้างมหาวิทยาลัยที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ไม่ก่อสร้างอาคารสูง อาคารสำคัญที่วางแผนจะก่อสร้าง ได้แก่ ศูนย์การแพทย์มหิดลนครสวรรค์ และอาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เอนกประสงค์ นอกจากนี้ยังคำนึงถึงการมีส่วนร่วมและเกิดประโยชน์กับชุมชน เช่น สร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในมหาวิทยาลัยและออกสู่ชุมชน เป็นต้น
มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตอำนาจเจริญ
เริ่มดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ที่ตั้งมี 2 บริเวณ คือ บริเวณศูนย์ราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ตำบลบุ่ง อำเภอเมือง ซึ่งเป็นที่ของราชพัสดุ จำนวน 43 ไร่ และบริเวณป่าดงหัวกองและป่าดงบังอี่ ตำบลสร้างนกทาอำเภอเมือง จำนวน 384 ไร่ ๗๓ ตารางวา รวมทั้งสิ้น 427 ไร่ 73 ตารางวา ปัจจุบัน (พ.ศ. 2553)มีการก่อสร้างอาคารหลังแรกบนพื้นที่ศูนย์ราชการจังหวัดอำนาจเจริญ นั่นคืออาคารเอนกประสงค์ ซึ่งเป็นอาคารที่มีความสมบูรณ์ภายในอาคารเดียว เช่น ห้องเรียนรวม สำนักงาน ห้องประชุม หอสมุดห้องคอมพิวเตอร์ และห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ทิศทางการขยายตัวทางกายภาพจะก่อสร้างอาคารสำคัญ เช่น อาคารเรียนรวม อาคารหอพักอาจารย์และบุคลากร พร้อมทั้งเตรียมพร้อมระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับต่อการเปิดสอนในอนาคต
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
โซนที่ 2: สองวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกมหิดล
แสดงพัฒนาการทางกายภาพของสองวิทยาเขตแรก
ในพื้นที่กรุงเทพมหานครตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ทั้ง 2 วิทยาเขต ซึ่งเป็นวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกของสถาบัน ได้แก่ วิทยาเขตบางกอกน้อย และวิทยาเขตพญาไท
วิทยาเขตบางกอกน้อย ก้าวแรกแห่งการบุกเบิกมหิดล
ยุคก่อตั้ง (พ.ศ. 2431 – 2465)
เมื่อ พ.ศ. 2431 โรงพยาบาลศิริราชได้ก่อสร้างขึ้นบนพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังหลัง ประมาณ 24 ไร่ อาคารผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้ อาคารตึก ได้แก่ ตึกวิกตอเรีย และตึกเสาวภาคย์ ซึ่งเป็นตึกคนไข้พิเศษอยู่ใจกลางของพื้นที่ พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเสมือนหน้าบ้าน เนื่องจากสมัยนั้นใช้เส้นทางน้ำเป็นหลัก จึงเป็นที่ตั้งของตึกผู้ป่วยนอก
พ.ศ. 2433 ตั้งโรงเรียนแพทย์แห่งแรกในประเทศไทยขึ้นในโรงพยาบาลศิริราช ต่อมา พ.ศ. 2443 ได้รับพระราชทานนามว่า ราชแพทยาลัย พร้อมเปิดใช้อาคารโรงเรียนแพทย์ นอกจากนี้ยังสร้างโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาลเป็นเรือนไม้ สิ่งก่อสร้างสำคัญอื่นๆ ได้แก่ พ.ศ. 2437 สร้างโรงกระโจมเป็นโรงผ่าตัดหลังแรก พ.ศ. 2439 สร้างถนนจักรพงศ์เป็นถนนสายหลักจากท่าน้ำศิริราชตรงไปจนถึงกึ่งกลางโรงพยาบาล
ยุคแห่งความก้าวหน้า (พ.ศ. 2466 – 2484)
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดชทรงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการแพทย์ไทย โดยเฉพาะทรงวางแผนปรับปรุงโรงพยาบาลศิริราชและทรงช่วยเหลือค่าก่อสร้างอาคารหลายหลัง ในยุคนี้เรือนไม้ต่างๆ ถูกรื้อและสร้างเป็นอาคารใหม่ ส่วนใหญ่สูง 2 ชั้น เป็นตึกผู้ป่วยและตึกเรียน อาคารสำคัญ ได้แก่ ตึกอำนวยการตึกมหิดลบำเพ็ญ ตึกมหิดลวรานุสรณ์ รวมทั้งวางท่อประปาในแม่น้ำเจ้าพระยาข้ามจากฝั่งพระนครมายังโรงพยาบาล
นอกจากนี้ยังได้ขยายอาณาเขตไปจากเดิม 3 บริเวณ คือ ทิศเหนือ ได้พื้นที่จากพระคลังข้างที่สร้างตึกกายวิภาคศาสตร์และตึกพยาธิวิทยา ส่วนฝั่งเหนือติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาสร้างหอพักแพทย์ และบริเวณโรงเรียนกุลสตรีวังหลังสร้างหอพักพยาบาล ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของคณะพยาบาลศาสตร์ ทางทิศใต้ได้ขยายพื้นที่เกือบจรดถนนพรานนก
ยุคมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และผลจากมหาสงคราม (พ.ศ. 2485 – 2511)
พ.ศ. 2485 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลถูกโอนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาสังกัดมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นใหม่ชื่อว่า มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ รวมทั้งตั้งสำนักงานอธิการบดีอยู่ที่ตึกอำนวยการ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 (สงครามสิ้นสุด พ.ศ. 2488) มีอาคารถูกระเบิดเสียหาย ได้แก่หอพักแพทย์ ตึกพระองค์หญิง ตึกพยาธิหลังที่ 2 ภายหลังสงครามมีการฟื้นฟูและขยายพื้นที่บางส่วน ได้แก่ ที่ดินส่วนหนึ่งของสถานีรถไฟธนบุรี ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2509 ขยายทางทิศเหนือของโรงพยาบาล และทิศตะวันตกไปจดถนนอรุณอมรินทร์ บางอาคารได้ถูกต่อเติมจำนวนชั้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย อาคารใหม่ ที่สำคัญ เช่น หอประชุมราชแพทยาลัย ตึกผู้ป่วยนอกริมน้ำ ต่อมาใน พ.ศ. 2500 มีการตั้งคณะเทคนิคการแพทย์ในวิทยาเขตแห่งนี้
ยุคมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตบางกอกน้อย (พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา)
หลังจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยมหิดลใน พ.ศ. 2412 วิทยาเขตแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งของ 3 คณะ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะเทคนิคการแพทย์ และคณะพยาบาลศาสตร์ ได้พัฒนาตามแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต้องการเพิ่มปริมาณนักศึกษา ดังนั้นจึงสร้างอาคารหลายชั้นขนาดใหญ่ทดแทนอาคารเดิม เพื่อรองรับนักศึกษาและผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น เช่น คณะพยาบาลศาสตร์สร้างอาคารเรียนและสำนักงานใหม่ คณะเทคนิคการแพทย์สร้างอาคารใหม่เพื่อประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลสร้างตึก 72 ปี ตึก 84 ปี ตึกสยามินทร์ตึกอานันทมหิดล (หลังใหม่) ตึกผู้ป่วยนอก และมหิตลาคารสมเด็จพระราชปิตุจฉา รวมถึงอาคารบริการสาธารณูปโภคเช่น อาคารบำบัดน้ำเสียและโรงผลิตน้ำประปา เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้ขยายพื้นที่เพิ่มจำนวน 3 แปลง คือ พ.ศ. 2542 สร้างหอพักนักศึกษาแพทย์และพยาบาลอาคารจอดรถ และสวนสาธารณะบนพื้นที่ 8 ไร่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546 ได้พื้นที่ 10 ไร่ริมถนนอรุณอัมรินทร์ สร้างหอพักนักศึกษาและโรงเรียนกายอุปกรณ์ผลิตแขนขาเทียม และพื้นที่ 33 ไร่ของสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) ก่อสร้างสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ตาม “โครงการการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์”
วิทยาเขตบางกอกน้อยวันนี้
ปัจจุบัน ( พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตบางกอกน้อยมีพื้นที่รวมทั้งสิ้น128 ไร่ การพัฒนาด้านสาธารณูปโภค เช่น ระบบไฟฟ้า ได้มีการวางสายไฟลงท่อใต้ดินทั่วทุกพื้นที่เพื่อความปลอดภัยและภูมิทัศน์ที่สวยงาม นอกจากนี้ได้เพิ่มพื้นที่สีเขียวและการก่อสร้างที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
วิทยาเขตพญาไท อีกก้าวของการเติบโต
ยุคการก่อตัว (ก่อน พ.ศ. 2512)
เป็นยุคมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ คณะใหม่ในช่วงแรก ได้แก่ คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อนและคณะวิทยาศาสตร์ ต้องอาศัยสถานที่ของโรงพยาบาลศิริราชและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการเรียนการสอนต่อมาประมาณ พ.ศ. 2501 รัฐบาลให้ที่ดินของกรมทหารในเขตพญาไท ได้แก่ ริมถนนพระราม 6 ริมถนนราชวิถีริมถนนโยธี และริมถนนศรีอยุธยา อีกส่วนหนึ่งของฝั่งถนนราชวิถีได้ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มหาวิทยาลัยจึงย้ายคณะทั้ง 3 มาตั้งที่นี่ ต่อมาเกิดคณะใหม่อีก 3 คณะ ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะเภสัชศาสตร์
ยุคการขยายตัว (พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา)
นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานนามมหาวิทยาลัยมหิดล ทั้ง 6 คณะในวิทยาเขตพญาไทได้ขยายตัวทางกายภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับนักศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นและการบริการด้านการแพทย์ การก่อสร้างเป็นลักษณะรื้ออาคารเก่าที่ชำรุดแล้วสร้างอาคารใหม่ที่มีขนาดใหญ่ สูงขึ้น และใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากขึ้น เช่น อาคารชีววิทยา(ใหม่) อาคารจำลอง หะริณสุต เป็นต้น การจัดวางอาคารพิจารณาจากความจำเป็นและความสะดวกในการเข้าถึงรวมถึงภูมิทัศน์และทิศทางลม ส่วนใหญ่เป็นการสร้างอาคารเรียน อาคารปฏิบัติการ สำนักงาน และอาคารบริการผู้ป่วย
ยุคแห่งการเติบโตอย่างเด่นชัด (พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา)
การก่อสร้างอาคารตอบสนองความต้องการใช้สอยมากขึ้น เห็นได้จากสร้างอาคารสูงขึ้นและบางอาคารมีชั้นใต้ดินสำหรับเป็นที่จอดรถ คณะต่างๆ ยังคงก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัย อาคารสำคัญ เช่น อาคารศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีสร้างเมื่อ พ.ศ. 2532 และอาคารอเนกประสงค์บนพื้นที่ร่วมของ 3 คณะ เป็นเสมือนอาคารกลางของคณะฝั่งราชวิถี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2540 เป็นต้น
วิทยาเขตพญาไทวันนี้
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 205 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวาแม้ว่าที่ตั้งของแต่ละคณะไม่ได้อยู่พื้นที่เดียวกันทั้งหมด แต่ก็สามารถเข้าถึงพื้นที่ซึ่งกันและกันได้ เช่น คณะฝั่งถนนราชวิถีได้ก่อสร้างอาคารอยู่บริเวณเดียวกันโดยไม่มีแนวรั้วกั้นและมีประตูทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน ส่วนคณะฝั่งถนนพระราม 6 แม้ว่าจะมีอาณาเขตกั้นแต่ก็มีประตูทางเดินเชื่อมถึงกันได้ นอกจากนี้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีได้เพิ่มพื้นที่สร้างศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ใกล้สี่แยกตึกชัย เพื่อให้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยรวมทั้งอาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษาของคณะทันตแพทยศาสตร์ และอาคารใหม่ของคณะสาธารณสุขศาสตร์คณะเวชศาสตร์เขตร้อน และคณะเภสัชศาสตร์ และในปี พ.ศ. 2554 ยังมีโครงการก่อสร้างคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีบนพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ ที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ อีกด้วย
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
ห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท
แนวคิดและรูปแบบการจัดแสดงห้องจดหมายเหตุแผนที่และผังแม่บท
ส่วนจัดเก็บและเผยแพร่
ออกแบบให้ความต้องการใช้สอย 2 ส่วนคือส่วนจัดเก็บ และส่วนเผยแพร่ รวมเป็นพื้นที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกในการดูแลของเจ้าหน้าที่ และการเข้าใช้บริการของผู้ใช้บริการ การออกแบบเน้นให้ดูเรียบง่าย ใช้งานได้จริงสะดวกต่อการเก็บรักษาและบริการ รวมทั้งสร้างบรรยากาศให้เห็นวิสัยทัศน์ในการวางรากฐานการขยายพื้นที่ตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน
เนื้อหาการจัดแสดง
เนื้อหาการจัดแสดง แบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่
โซนที่ 1: โหมโรง
โซนที่ 2: สองวิทยาเขตรุ่นบุกเบิกมหิดล
โซนที่ 3: “วิทยาเขตศาลายา” ศูนย์รวมประชาคมมหิดล
โซนที่ 4: มุ่งขยายการศึกษาสู่ภูมิภาค
โซนที่ 5: ความสัมพันธ์ของวิทยาเขตต่างๆ กับสภาพแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
โซนที่ 3: “มหิดล” มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
แสดงพัฒนาการของยุคขยายการศึกษาที่ครอบคลุมศาสตร์ทุกสาขา
และมุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ในทางกายภาพก็เกิดพื้นที่ส่วนกลางคือวิทยาเขตศาลายา ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของสถาบันและศูนย์รวมชาวมหิดล นอกจากนี้ยังแสดงประวัติพัฒนาการของวิทยาเขตต่างๆทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วย
“มหิดล” มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
บอกเล่าประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัยมหิดล นับตั้งแต่การขอพระราชทานนาม “มหิดล” เพื่ออัญเชิญเป็นชื่อใหม่ของมหาวิทยาลัย จนกระทั่งพัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ มีคณะวิชาครบทุกแขนง ทั้งสายวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ รวมทั้งบอกเล่าถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 และพัฒนาการของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันซึ่งจะนำพามหาวิทยาลัยไปสู่ความเป็นเลิศในอนาคต
ก้าวสู่การเป็น “มหิดล”
หลังจากการจัดตั้งบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2507 คณะผู้บริหารและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อถวายรายงานและขอพระราชทานนาม “มหิดล” อันเป็นพระนามของสมเด็จพระบรมราชชนก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมี พระราชดำรัสตอบว่าไม่ขัดข้อง แต่ทางมหาวิทยาลัยควรปรับปรุงและขยายมหาวิทยาลัยให้เป็น “มหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์” เสียก่อนดังนั้นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์จึงได้จัดตั้งคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ขึ้น เพื่อขยายการเรียนการสอนให้ครอบคลุมสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ นอกเหนือจากการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีอยู่แล้ว จนกระทั่งในพ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อจาก “ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” เป็น “มหาวิทยาลัย มหิดล” และในวันที่ ๑ มีนาคมปีเดียวกันนั้น พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหิดลก็ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มหาวิทยาลัยมหิดลจึงถือเอาวันต่อมาคือวันที่ 2 มีนาคมเป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัยนับแต่นั้นเป็นต้นมา
กำเนิดวิทยาเขตศาลายา
ภายหลังจากการเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี องค์ประธานคณะกรรมการส่งเสริมมหาวิทยาลัยมหิดล มีพระราชดำริว่า มหาวิทยาลัยมหิดลควรจะวางโครงการเพิ่มการรับนักศึกษา เพื่อสนองนโยบายขยายขอบเขตการศึกษา แต่เนื่องจากคณะวิชาของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่กระจัดกระจายตามวิทยาเขตต่างๆ และมีพื้นที่จำกัด มหาวิทยาลัยมหิดลจึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตออกไปนอกเมือง โดยมีเงื่อนไขว่าที่ตั้งของมหาวิทยาลัยต้องอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก ทางคณะกรรมการจึงเลือกที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพราะมีระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯและมีพื้นที่ขนาดใหญ่ คณะกรรมการจึงเจรจาขอซื้อที่ดิน ในขณะที่กำลังเจรจาต่อรองราคาที่ดินอยู่นั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงใช้พระหัตถ์โอบไหล่ของผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรงต่อราคาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ลดราคาที่ดินดังกล่าวเหลือเพียงไร่ละ 10,000 บาทเท่านั้น นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ชาวมหิดลรู้สึกซาบซึ้งจนถึงทุกวันนี้
มหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์
โครงการขยายการศึกษาไปยังพื้นที่ศาลายาครอบคลุมทั้งจุดประสงค์ในด้านกายภาพและด้านวิชาการ ในด้านกายภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับนักศึกษาที่มีจำนวนมากขึ้น เนื่องจากศาลายามีพื้นที่กว้างขวางและมีบรรยากาศที่เหมาะสม ทางมหาวิทยาลัยจึงจัดสรรพื้นที่ตามประโยชน์ใช้สอยและปรับภูมิทัศน์โดยการปลูกต้นไม้เพิ่มเพื่อสร้างความร่มรื่นและบรรยากาศที่น่าอยู่ภายในวิทยาเขต สำหรับด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยได้ขยายขอบเขตการเรียนการสอนจากคณะวิชาด้านวิทยาศาสตร์ไปสู่คณะทางสังคมศาสตร์ รวมทั้งขยายการศึกษาแก่ผู้ทุพพลภาพและนักศึกษาต่างชาติ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งคณะและหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นจากเดิม การขยายขอบเขตงานอย่างกว้างขวางนี้ ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ และพร้อมที่จะผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไป
มุ่งสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ในฐานะ “ปัญญาของแผ่นดิน”
จากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงต้องการให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ ภายใต้ชื่อ “มหาวิทยาลัย มหิดล” เพื่อเป็นแหล่งสร้างคนให้เป็น “ปัญญาของแผ่นดิน” มหาวิทยาลัยจึงขยายสาขาวิชาให้กว้างขวางครอบคลุมทั้งด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้วัตถุประสงค์ด้านการสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมทั้งจัดตั้งวิทยาลัยราชสุดา เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแก่ผู้พิการ และพัฒนากลุ่มคนเหล่านี้ให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังให้ความสำคัญกับการยกระดับจิตใจของประชาชน โดยการจัดตั้งวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ซึ่งเป็นสถาบันที่เน้นการเรียนการสอนด้านดนตรี รวมทั้งขยายโอกาสทางการศึกษาออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ โดยจัดตั้งวิทยาเขตเพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาเขตกาญจนบุรีวิทยาเขตนครสวรรค์ และวิทยาเขตอำนาจเจริญ ถือเป็นการพัฒนาให้มหาวิทยาลัยมหิดลกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ดำเนินงานได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมและเป็นสากล ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลมีคณะวิชาทั้งสิ้น 17 คณะ และส่วนงานด้านวิชาการและงานวิจัยกว่า 20 ส่วนงาน ผลิตบัณฑิตปีละกว่า 5,000 คน ทั้งยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศไทยติดต่อกันหลายปีจนถึงปัจจุบัน
“กรีน แคมปัส” ชีวิตคุณภาพในมหาวิทยาลัยสีเขียว
จากแนวคิด “มหาวิทยาลัยเมืองในฝัน เมืองน่าอยู่และสร้างเสริมสุขภาวะ” นำไปสู่โครงการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้จากธรรมชาติและชุมชนให้แก่นักศึกษา เพื่อสร้างคนเก่งที่มีจิตใจดี ด้วยเหตุนี้โครงการ “กรีน แคมปัส” จึงเกิดขึ้นโดยการปรับปรุงพื้นที่ในมหาวิทยาลัย ที่เน้นความเป็นธรรมชาติและการอยู่ร่วมกับชุมชนโดยรอบ ตามแนวทาง 5 ประการ ที่ปรากฏในแผนแม่บทระยะเวลา 5 ปี (2551-2555) ดังนี้
1) มหาวิทยาลัยต้องมีพื้นที่สีเขียวไม่น้อยกว่า 70%
2) ลดพื้นที่การจราจรของรถยนต์ลงครึ่งหนึ่ง แล้วแบ่งเป็นพื้นที่เดินเท้าหรือปั่นจักรยานแทน
3) สร้างพื้นที่การเรียนรู้ด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัย
4) พัฒนามหาวิทยาลัยให้มีความเชื่อมโยงกับชุมชนรอบข้าง ไม่แยกตัวออกจากชุมชน
5) การพัฒนาด้านกายภาพต้องเกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกคนทุกฝ่ายในมหาวิทยาลัย
ภายใต้แนวทางเหล่านี้ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ด้านกายภาพเพื่อพัฒนาจิตใจของนักศึกษา และเพื่อให้นักศึกษาได้ซึมซับบรรยากาศการเรียนรู้ตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ที่นี่ โครงการกรีนแคมปัส ประกอบด้วยโครงการย่อยหลายโครงการที่ดำเนินงานแล้ว เช่น การเปลี่ยนทางรถยนต์เป็นถนนคนเดินการใช้รถราง การปลูกต้นไม้ในมหาวิทยาลัย โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล และโครงการบ้านรักหมา คือฝึกสุนัขจรจัดให้เป็นสุนัขนิสัยดี เป็นต้น
จักรยานขาวในรั้วศาลายา
โครงการจักรยานสาธารณะเกิดขึ้นจากปัญหาจักรยานเก่าที่ถูกทิ้งไว้ตามหอพักนักศึกษา มหาวิทยาลัยจะนำจักรยานเหล่านี้มาซ่อมแซมและทาสีจักรยานใหม่เป็นสีขาว และยังจัดซื้อจักรยานใหม่อีกส่วนหนึ่ง แล้วทำทะเบียน เพื่อให้นักศึกษาและบุคลากรได้นำไปใช้สัญจรในมหาวิทยาลัย โดยมีกฎกติกาว่าสามารถนำไปใช้และจอดที่ไหนก็ได้ แต่ห้ามล็อกหรือนำจักรยานออกนอกมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังจัดสร้างเส้นทางสัญจรทางจักรยาน(Bike lane) เพิ่มขึ้น รวมทั้งจัดตั้งหน่วยซ่อมบำรุงจักรยาน และดูแลด้านความปลอดภัยโดยกองกายภาพและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ธงวันมหิดล
ธงผ้ารูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก พิมพ์รูปพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบรมราชชนก เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2503 เพื่อจำหน่ายให้แก่ประชาชน รายได้จากการจำหน่ายธงทั้งหมดนั้นจะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวมทั้งจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกแก่ผู้ป่วยยากไร้ เหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของนักศึกษาเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2520 เมื่อธงวันมหิดลขายหมดก่อนวันที่ 23 กันยายน (1 วันก่อนวันมหิดล) ซึ่งเป็นวันขายใหญ่ “กลุ่มอาสามหาวิทยาลัยมหิดล” ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาจากทุกคณะและทุกวิทยาเขตจึงมารวมตัวกันเป็นเวลา 2 วัน 2 คืน เพื่อทำธงเพิ่ม จนกระทั่งมีธงพอขายในวันที่ 23 กันยายน ในปีต่อมาคณะกรรมการจำหน่ายธงวันมหิดลจึงมีมติให้จ้างกลุ่มอาสาฯ ผลิตธงแทนจ้างบริษัทเอกชน เพราะเห็นว่านักศึกษาทำได้ดีเทียบเท่ามืออาชีพ และยังเป็นการสนับสนุนกิจกรรมของนักศึกษา ส่วนทางกลุ่มอาสาฯ ก็ได้นำกำไรจากการขายธงไปสร้างโรงเรียนในชนบทเป็นประจำทุกปี
อนาคตของเรา
มหาวิทยาลัยมหิดลมีเป้าหมายที่จะเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกที่มีความเป็นเลิศด้านการบริการสุขภาพ ศาสตร์ศิลป์ และนวัตกรรม ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย มหิดลได้กำหนดแนวทางในการพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกไว้ 3 ประการ ได้แก่ ประการที่ 1 คือการส่งเสริมความกลมกลืนในความหลากหลาย โดยการประสานวิสัยทัศน์ พันธกิจของคณะ สถาบัน และวิทยาลัยต่างๆ ให้มีความสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และพันธกิจของมหาวิทยาลัย ประการที่ 3 คือ การพัฒนาระบบสารสนเทศและทรัพยากร โดยการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้เอื้อต่อการเรียนการสอน การวิจัย และการบริหารจัดการ และประการที่ 3 คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลนักศึกษา บุคลากร และคณาจารย์ โดยการพัฒนาทักษะ และความชำนาญในวิชาชีพ สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และบรรยากาศที่กระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าวิจัย รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ตามเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาสังคม และประโยชน์สุขแห่งมนุษยชาติ ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระบรมราชชนกที่ว่า
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.
พิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
Museums & Exhibitions
โซนที่ 2: เมื่อแรกสถาปนาในชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์”
จัดแสดงประวัติความเป็นมาและพัฒนาการในยุคแรก
ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้ชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” ในส่วนนี้จะมีการเท้าความถึงจุดตั้งต้นสถาบันคือการต่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชและโรงเรียนแพทย์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย
เมื่อแรกสถาปนาในชื่อ “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์”
บอกเล่าความเป็นมาของมหาวิทยาลัยมหิดลในยุคแรก เริ่มจากการก่อตั้งมหาวิทยาลัยซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” การจัดตั้งคณะวิชาเพิ่มขึ้นเพื่อขยายขอบเขตการศึกษา พร้อมทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของนักศึกษาในยุคนั้น ในส่วนท้ายของการจัดแสดงเท้าความถึงยุคก่อนสถาปนามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ได้แก่ การก่อตั้งและพัฒนาการของโรงพยาบาลศิริราช และสร้างโรงเรียนแพทย์ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
ปฐมบทแห่งปัญญา
เมื่อ พ.ศ. 2485 คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์และคณะสัตวแพทยศาสตร์ โอนจากสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาขึ้นกับมหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นใหม่ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์” ภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตแพทย์จำนวนน้อยแต่มีคุณภาพ และผลิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ภายใต้คติพจน์ที่ว่า “อตฺตานํ อุปฺมํ กเร” หมายความว่า “คิดและปฏิบัติต่อผู้อื่น ดังเช่นคิดและปฏิบัติต่อตนเอง” คตินี้สอดคล้องกับพระบรมราโชวาทของสมเด็จพระบรมราชชนก เรื่องการทำหน้าที่แพทย์รับใช้ประชาชนที่ว่า การที่จะได้รับความไว้วางใจของคนไข้ขอท่านถือสุภาษิตว่า ‘ใจเขาใจเรา’ ท่านคงจะคิดว่าท่านอยากได้ความสบายแก่ตัวท่านอย่างไร ก็ควรพยายามให้ความสบายแก่คนไข้อย่างนั้น
พระราชาและเจตนารมณ์
วันที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาไปพระราชทานปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต ณ ปะรำพิธีหน้าตึกรังสีวิทยา โรงพยาบาลศิริราช นับเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกและครั้งเดียวในรัชกาล และได้พระราชทานพระบรมราโชวาท ความว่า “ข้าพเจ้าใคร่จะให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ผลิตแพทย์ให้ได้จำนวนมากขึ้นให้พอกับความต้องการของประเทศชาติ” พระบรมราโชวาทนี้จึงเปรียบเสมือนการประกาศเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ในการผลิตบุคลากร มารับใช้ประชาชนอย่างเต็มภาคภูมิ
ฝ่าคลื่นลมอุปสรรค
สงครามโลกครั้งที่ ๒ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะพื้นที่ศิริราชเมื่อกองทัพญี่ปุ่นบุกยึดตึกคณะทันตแพทยศาสตร์ อาคารของคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลหลายหลังถูกโจมตีทางอากาศโดยกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร เช่น ตึกพยาธิวิทยาใหม่ ตึกพระองค์หญิง และหอพักแพทย์จนต้องสร้างเรือนไม้หลังคามุงจากเป็นที่เรียนแทน อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลศิริราชยังคงเปิดรับผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บจากสงคราม โดยมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๔ มาช่วยงาน ทว่าเมื่อถูกโจมตีอย่างหนัก มหาวิทยาลัยจำต้องย้ายสถานที่เรียนไปยังอาคารเก่าของโรงเรียนราชวิทยาลัย (ศาลากลางเก่าจังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน) นอกจากนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ อุปกรณ์การเรียน ตำราเรียน ยา เวชภัณฑ์ และบุคลากรด้านการแพทย์ขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถติดต่อกับประเทศทางตะวันตกได้ อาจารย์แพทย์ชาวไทยจึงต้องเขียนตำราและดัดแปลงเครื่องมือเครื่องใช้เพื่อนำไปสอนนักศึกษา เช่น ตำรามหกายวิภาคศาสตร์ สไลด์วิชาต่างๆและเครื่องมือทดลองทางสรีรวิทยา เป็นต้น
กิจกรรมรับน้องข้ามฟาก: เรียนร่วมสำนัก…รักเหมือนร่วมแม่
ที่มาของกิจกรรมรับน้องข้ามฟากเกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2474 เมื่อคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลยังอยู่ภายใต้สังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะนั้นมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์ฯกับคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักฟุตบอลของคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคณะเตรียมแพทยศาสตร์ได้ก่อเหตุวิวาทกับนักฟุตบอลคณะแพทยศาสตร์ฯ เป็นเหตุให้รุ่นพี่ของคณะแพทยศาสตร์ฯ ไม่พอใจ และวางแผนแก้แค้นเมื่อรุ่นน้องผู้นี้ “ข้ามฟาก” มาเรียนที่ศิริราช อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสโมสรสาขาศิริราชได้ประชุมหารือกันว่าการแก้แค้นนั้นไม่ก่อให้เกิดผลดี ในที่สุดก็ตกลงกันว่าจะพายเรือจากฝั่ง ศิริราชข้ามไปท่าพระจันทร์เพื่อรับนักศึกษาใหม่ที่เดินทางมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วจัดงานเลี้ยงต้อนรับเพื่อเป็นการแสดงการให้อภัยและเชื่อมความสามัคคีแทน การรับน้องใหม่ครั้งนี้นอกจากจะสร้างความสมานฉันท์แล้ว ยังทำให้รุ่นพี่นักศึกษาแพทย์ได้รับการยอมรับจากรุ่นน้อง จนกลายเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบันและถือเป็นพิธีรับน้องใหม่่ในมหาวิทยาลัยครั้งแรกของเมืองไทย
มุ่งรักษาประชาชน
สืบเนื่องจากความต้องการด้านการแพทย์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้งานของคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อสนองความต้องการ ดังกล่าวมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์จึงได้ก่อตั้งคณะวิชาต่างๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ดังนี้ คณะสาธารณสุขศาสตร์ คณะเทคนิคการแพทย์ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน คณะวิทยาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ แสดงถึงความรุ่งเรืองทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยและสะท้อนถึงความตั้งใจของบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่มุ่งสร้างเสริมสุขภาพอนามัยที่ดีแก่ประชาชน
จุดตั้งต้นของสถาบัน
จุดเริ่มต้นของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เกิดขึ้นจากการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชน ตลอดจนปรับปรุงการแพทย์ให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ มีโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานตะวันตกเพื่อใช้รักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดค่ารักษา และผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้กับประเทศ ชื่อโรงพยาบาลศิริราชนั้นมาจากพระนามของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสิ้นพระชนม์ด้วยโรคบิด ขณะที่มี พระชนมายุเพียง 1 ปี 7 เดือน
ต่อมามีการก่อตั้งโรงเรียนแพทยากรขึ้นใน พ.ศ. 2436 เพื่อฝึกหัดแพทย์ไว้ใช้ในโรงพยาบาล และในอีก 7 ปีต่อมาโรงเรียนแพทยากรก็ได้พัฒนาเป็นโรงเรียนราชแพทยาลัยเพื่อผลิตแพทย์แผนปัจจุบันที่มีความชำนาญ รวมทั้งฝึกหัดแพทย์ผดุงครรภ์และบุรุษพยาบาล จากนั้นใน พ.ศ. 2460 โรงเรียนราชแพทยาลัยได้ไปอยู่ในสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเปลี่ยนชื่อเป็นคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล มีการใช้หลักสูตรแบบตะวันตก โดยร่วมมือกับมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ในการพัฒนาหลักสูตรนี้ให้ถึงระดับปริญญา
ความร่วมมือจากมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์
มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญด้านการปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาแพทย์ในประเทศไทยโดยการติดต่อเจรจาของสมเด็จพระบรมราชชนก จากความร่วมมือดังกล่าว คณะแพทยศาสตร์ฯ ได้ปรับปรุงหลักสูตรเป็นแบบ 2 : 2 : 2 แบ่งการเรียนเป็นชั้นเตรียมแพทยศาสตร์ 2 ปี เรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชั้นแพทยศาสตร์ 4 ปี เรียนที่คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ผู้ที่จบการศึกษาจะได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต นอกจากนี้ทางมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ยังร่วมกับรัฐบาลไทย ส่งแพทย์ชาวไทยไปเรียนต่อต่างประเทศ ส่งแพทย์จากต่างประเทศเข้ามาสอนในศิริราช รวมทั้งการให้ทุนสร้างอาคารใหม่
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.