มรดกความทรงจำ
The Memories
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
“นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ” กับความทรงจำแห่งการวิจัยของสถาบันโภชนาการ
เมื่อนายแพทย์อารี วัลยะเสวี เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย หลังสำเร็จการศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณต้นปี พ.ศ. 2503 ก็เข้ารับตำแหน่งเป็นอาจารย์ในแผนกกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล โดยนอกเหนือจากหน้าที่หลักคือ การสอนวิชากุมารเวชศาสตร์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 องค์กร ICNND (Inter-Committee on Nutrition for National Development) แห่งสหรัฐอเมริกา ได้มาสำรวจสภาวะโภชนาการในประเทศไทย โดยมีโปรเฟสเซอร์ จีออร์กี้ เป็นที่ปรึกษา นายแพทย์อารีจึงได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะสำรวจด้วยเช่นเดียวกัน โดยพื้นที่ในการสำรวจอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เนื่องจากพบว่ามีประชากรป่วยเป็นโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกันมาก โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก จากเดิมที่เคยเชื่อกันว่า สาเหตุของนิ่วเกิดจากการบริโภคน้ำบ่อ ซึ่งเป็นน้ำกระด้างและมีปริมาณแคลเซียมสูง ทว่าก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคนี้ได้ ทำให้มุ่งประเด็นไปที่การศึกษาระบาดวิทยา และกลไกของการเกิดโรค ตลอดจนความสัมพันธ์ของโรคนี้กับสภาวะโภชนาการของผู้ป่วย
การศึกษาวิจัยโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานถึง 17 ปี (พ.ศ. 2503-2522) โดยมีพื้นที่การวิจัยหลักอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี รูปแบบของการวิจัยได้ดำเนินไปตามลำดับ เริ่มจากการศึกษาความรุนแรงของปัญหา สาเหตุของปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การพิสูจน์สมมุติฐาน และการปฏิบัติเพื่อแก้ไขและป้องกัน
จากการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องด้วยความทุ่มเท ทำให้ทราบว่า โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารจำพวกโปรตีนและได้รับสารจำพวกออกซาเลตในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งสัมพันธ์กับวิถีการกินของชาวบ้าน ที่มีฐานะยากจนขาดอาหารโดยเฉพาะอาหารที่ให้โปรตีนและนิยมบริโภคผักที่มีสารออกซาเลตสูงจำนวนมาก ขณะเดียวกันกลับได้รับโปรตีนและฟอสเฟตในปริมาณที่น้อยเกินไป ส่งผลให้เกิดการสะสมผลึกของออกซาเลท จนไม่สามารถถูกขับออกทางปัสสาวะทำให้เกิดนิ่ว ด้วยเหตุนี้ ทางคณะวิจัยจึงได้ทดลองให้เด็กรับกินเกลือฟอสเฟต ซึ่งก็พบว่า เกลือฟอสเฟตสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้จริง จากนั้น จึงดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขโดยเพิ่มการกินอาหารที่มีโปรตีน จากเนื้อสัตว์และถั่ว ซึ่งมีฟอสฟอรัสสูง และดื่มน้ำมากขึ้น
ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัยในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ด้านพยาธิกำเนิดของโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ และสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการป้องกันโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะให้กับประเทศอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับปัญหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน เช่น อิยิปต์ อิหร่าน ปากีสถาน อินเดีย เป็นต้น โดยผลงานวิจัยเรื่อง “การศึกษาโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะในประเทศไทย” ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารต่างประเทศหลายฉบับ ขณะที่นายแพทย์อารี วัลยะเสวี ก็ได้รับเชิญไปบรรยายในการประชุมนานาชาติในประเด็นดังกล่าวอีกหลายครั้ง นอกจากนี้ ผลงานวิจัยนี้ยังได้รับรางวัลยอดเยี่ยมของสภาวิจัยแห่งชาติ เมื่อพ.ศ. 2519 ร่วมกับแพทย์หญิงสาคร ธนมิตต์ อีกด้วย
สองปูชนียบุคคลแห่งวงการโภชนาการไทย สองปูชนียบุคคลแห่งความทรงจำของสถาบันโภชนาการ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อารี วัลยะเสวี และศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงคุณสาคร ธนมิตต์ นับเป็นบุคคลสำคัญยิ่งแห่งวงการโภชนาการไทย และ นับเป็นปูชนียบุคคลแห่งความทรงจำของสถาบันโภชนาการ ท่านทั้งสองคือผู้ผลักดันให้มีแผนอาหารและโภชนาการเกิดขึ้นในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ส่งผลให้การทำงานด้านอาหารและโภชนาการปรากฎขึ้นอย่างจริงจังในสังคมไทย เพราะประสบการณ์ในการทำงานภาคสนามทำให้ท่านได้พบเห็นเด็กขาดสารอาหารและเจ็บป่วยจำนวนมาก และเมื่อรักษาหายแล้วก็กลับมาเจ็บป่วยอีกซ้ำอีก ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณในการรักษาจำนวนมาก
จึงเห็นว่าการการป้องกันด้วยการพัฒนาภาวะโภชนาการให้ดีจะเป็นแนวทางที่ดี อีกทั้งทำให้เด็กและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ท่านทั้งสองจึงได้ดำเนินโครงการวิจัยต่างๆ อาทิเช่น งานวิจัยเรื่องโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ โดยศึกษาหาความรุนแรงของปัญหา การศึกษาหาสาเหตุของปัญหาตลอดจนแนวทางแก้ไข โครงการวิจัยเพื่อหารูปแบบเพื่อแก้ปัญหาทุพโภชนาการในทารกและเด็กวัยก่อนเรียนในชนบทภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โครงการศึกษาเรื่องโรคโลหิตจางในคนท้อง โครงการส่งเสริมสุขภาพและการให้โภชนาการศึกษาแก่ชุมชน โครงการศึกษาพฤติกรรมการกินของคนไทย เป็นต้น โดยท่านทั้งสองร่วมทำงานลงพื้นที่ภาคสนามเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาโดยตลอด และในการดำเนินงานวิจัยต่างๆ นั้น ได้สร้างและพัฒนาองค์ความรู้โดยใช้สหสาขาวิชา ทำให้ผลงานด้านอาหารและโภชนาการของประเทศไทยเป็นที่ปรากฎแก่นานาประเทศ และยังเป็นแบบอย่างที่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีบริบทใกล้เคียงกับประเทศไทย นำไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการของประเทศตนได้อย่างเกิดประสิทธิผล
นอกจากงานวิจัยแล้ว ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อารี วัลยะเสวี โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงคุณสาคร ธนมิตต์ ช่วยสนับสนุนในการดำเนินการเบื้องหลัง ยังเป็นผู้ก่อตั้งหน่วยงานต่าง ๆ ถึง 2 หน่วยงาน คือ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ในปี พ.ศ. 2512 และสถาบันวิจัยโภชนาการ ในปี พ.ศ. 2520 (ต่อมา 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันโภชนาการ) นอกจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์อารี วัลยะเสวี จะเป็นผู้ก่อตั้งแล้วท่านยังเป็น คณบดีท่านแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และเป็นผู้อำนวยการท่านแรกของสถาบันวิจัยโภชนาการ และศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงคุณสาคร ธนมิตต์ เป็นผู้อำนวยการท่านที่สอง นอกจากนี้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อารี วัลยะเสวี ยังเป็นคณบดีท่านแรกของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกด้วย
ผลงานต่างๆ ที่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์อารี วัลยะเสวี และศาสตราจารย์เกียรติคุณแพทย์หญิงคุณสาคร ธนมิตต์ ได้ร่วมกันดำเนินการได้สร้างคุณูปการให้กับวงการโภชนาการของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการและเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินงานด้านอาหารและโภชนาการ ส่งผลต่อเนื่องให้สถาบันโภชนาการเป็นหน่วยงานที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ได้รับรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ แล้วยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นศูนย์ประสานด้านโภชนาการชุมชนและความปลอดภัยของอาหารขององค์การอนามัยโลก และจัดให้เป็นหน่วยงานที่มีความเป็นเลิศทางด้านคุณภาพ และความปลอดภัยของอาหารขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีเพียง 16 แห่งในโลก การดำเนินการอย่างต่อเนื่องทำให้ปัญหาทุพโภชนาการของประเทศลดลง ดังนั้น จึงนับว่าท่านทั้งสองเป็นปูชนีบุคคลแห่งวงการโภชนาการไทย และปูชนียบุคคลแห่งความทรงจำของสถาบันโภชนาการอย่างแท้จริง
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักโภชนาการ ในความทรงจำของชาวสถาบันโภชนาการ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยงานด้านอาหารและโภชนาการ จากการที่ตามเสด็จฯ สมเด็จพระบรมราชชนกไปในที่ต่างๆ ทรงเห็นสภาวะขาดแคลนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในชนบทที่ยังขาดแคลนอาหารอีกเป็นจำนวนมาก พระองค์ท่านจึงได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจสนับสนุนงานด้านอาหารและโภชนาการอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาโดยตลอด
พระองค์ทรงสนพระทัย ทรงหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ประจักษ์ชัด และยังทรงพระวิริยะอุตสาหะในการแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนางานให้ประสบผลสำเร็จเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพสกนิกรชาวไทย พระองค์ทรงหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลาเพื่อพัฒนางานให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ทำให้สถาบันโภชนาการซึ่งขณะนั้นมีศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ เป็นผู้อำนวยการ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน ให้จัดการสัมมนาวิชาการพิเศษถวายเป็นครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2535 ติดต่อกันจำนวน 7 วัน และได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างต่อเนื่องติดต่อกันทุกปี รวม 15 ครั้ง จนกระทั่ง พ.ศ. 2549 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การเสด็จพระราชดำเนินร่วมการสัมมนาวิชาการพิเศษด้านอาหารและโภชนาการ ณ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและสิริมงคลต่อสถาบันโภชนาการ และนักวิชาการด้านอาหารและโภชนาการอย่างหาที่สุดมิได้ แล้วยังนับเป็นการสนับสนุนงานด้านอาหารและโภชนาการของชาติอีกด้วย ในการร่วมการสัมมนาวิชาการพิเศษด้านอาหารและโภชนาการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นั้น พระองค์จะทรงสนพระทัย ทรงซักถาม ทรงเสนอแนะแสดงความเห็น และได้ทรงนำความรู้จากการสัมมนาวิชาการพิเศษด้านอาหารและโภชนาการไปปรับใช้ในโครงการส่วนพระองค์เพื่อพัฒนาภาวะโภชนาการของเด็กและประชาชนผู้ยากไร้ทั้งในพระเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านด้วย นอกจากนี้ ในบางปีที่ร่วมการสัมมนา พระองค์จะทรงเสวนาพิเศษทรงเล่าถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนของพระองค์ ยิ่งทำให้ชาวสถาบันโภชนาการได้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและน้ำพระทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย นอกจากนี้ยังจุนเจือไปถึงผู้ยากไร้ในประเทศเพื่อนบ้านด้วย พระองค์จึงทรงเป็น “เจ้าฟ้านักโภชนาการ” หนึ่งในความทรงจำของชาวสถาบันโภชนาการตลอดไป
QUICK LINKS
ติดต่องานบริหารจดหมายเหตุ
ติดต่องานพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการ
*** สถานที่ติดต่อเข้าชมนิทรรศการหอพระราชประวัติสมเด็จพระบรมราชชนก และหอเกียรติยศแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล
© 2021 ฝ่ายจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ หอสมุดและคลังความรู้มหาวิทยาลัยมหิดล. All Rights Reserved.