หลังจากประทับที่เมืองโลซานน์อย่างเรียบง่ายและสามัญ กระทั่ง วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ โดยมิได้ทรงตั้งเจ้านายพระองค์ใดเป็นพระรัชทายาท สภาผู้แทนราษฎรจึงมีมติเห็นชอบในการอัญเชิญ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งทรงเป็นเจ้านายลำดับที่ 1 ในการสืบพระราชสันตติวงศ์ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
ในเบื้องต้นสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มิได้ทรงพอพระทัยที่จะให้พระราชนัดดาสืบราชสมบัติ โดยตรัสว่า
"ทำกรรมให้เด็ก ลูกแดงไม่ได้ ต้องการให้ลูกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน"
และสมเด็จพระบรมราชชนนีก็มิทรงเต็มพระทัยเช่นกัน แต่ก็ทรงยอมเพราะเป็นการทำเพื่อชาติ ดังข้อความในพระราชหัตถเลขาถวายสมเด็จพระพันวัสสาฯ ว่า
"เวลาหม่อมฉันกลุ้มใจมาก ๆ เข้า ก็มาคิดเสียว่า การที่นันท์รับเป็นคิงเสีย ก็ได้ช่วยบ้านเมืองของเราโดยทางอ้อม"
และทรงขอให้พระเจ้าอยู่หัวประทับเพื่อทรงรักษาพระองค์และทรงศึกษาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่อไปเมื่อทรงตอบรับแล้ว รัฐบาลจึงเฉลิมพระนามเป็น
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล"
และเนื่องจากยังทรงเปนยุวกษัตริย์ จึงมีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีอากาศเหมาะแก่พระอนามัยและเหมาะที่จะทรงศึ กษาต่อ เพื่อให้เป็นการสมพระเกียรติ ครอบครัวมหิดลจึงได้ย้ายจากที่พักเดิมไปยังบ้านเช่าที่มีความเหมาะสมขึ้น ณ เมืองพุยยี่ ชานเมืองโลซานน์ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงตั้งชื่อบ้านใหม่ว่า พระตำหนักวิลล่าวัฒนา และย้ายไปทรงศึกษาต่อที่ โรงเรียนนูแวล เดอ ลา ซูอิส โรมองต์ พร้อมกับมีพระอาจารย์จากกรุงเทพฯ ไปถวายพระอักษรภาษาไทย